วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ทิลลี สมิธ เด็กสาวผู้ช่วยคน 100 ชีวิต รอดเหตุสึนามิ ปี 2547

ทิลลี สมิธ เด็กสาวผู้ช่วยคน 100 ชีวิต รอดเหตุสึนามิ ปี 2547
วันนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ววันที่ 26 ธค. 2547 เป็นวันที่เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ของไทย คือเหตุการณ์​สึนามิ​ เช้าวันที่26 ที่หาดไม้ขาว ครอบครัวชาวอังกฤษที่มาพักผ่อนกัน ลูกสาววัย10ขวบสังเกตุเห็นฟองคลื่นแปลกๆและน้ำทะเลอยู่ไกลมาก เหมือนในvdoที่เคยเรียนเป็นสึนามิที่ฮาวาย และเธอพยายามบอกพ่อ...


ชื่อของเด็กสาวคนนี้คือ ทิลลี สมิธ (Tilly Smith) เด็กสาวชาวอังกฤษวัย 10 ขวบที่มาเที่ยววันคริสต์มาสที่ภูเก็ต พร้อมๆ กับครอบครัวในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นพอดี โดยในเวลานั้นเด็กสาวได้รู้สึกตัวว่าน้ำทะเลในหาดเริ่มที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันเราจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าเป็นสัญญาณของเหตุคลื่นยักษ์ แต่ในเวลานั้นแทบไม่มีใครทราบเลยว่าการที่น้ำลดอย่างรวดเร็วนั้นน่ากลัวขนาดไหน

ทิลลี เล่าว่า เธอนึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเรื่องความอันตรายของการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำทะเลมาจากวิชาภูมิศาสตร์ก่อนจะเดินทางมาไทย ดังนั้นเธอจึงเตือนพ่อกับแม่และคนบนหาดให้รีบหนี ซึ่งแม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะยังงงๆ อยู่บ้าง แต่ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อลูกสาวตัวเอง
พวกเขาแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวญี่ปุ่นซึ่งอยู่แถวๆ นั้น และนำไปสู่การลี้ภัยขึ้นที่สูงของคนบนในหาดที่เด็กสาวและครอบครัวไปเที่ยว จนทำให้ในตอนที่คลื่นซัดเข้ามาจริงๆ ทุกคนที่อยู่บนหาดกับเธอก็ลี้ภัยไปอยู่ในที่ปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีใครเลยที่เสียชีวิตทั้งนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้ทิลลีได้รับการยกย่องให้เป็นเยาวชนดีเด่นโดยหนังสือพิมพ์เด็กของประเทศฝรั่งเศสในเวลาต่อมา และได้รับฉายาว่าเป็น นางฟ้าแห่งหาดทราย (Angel of the Beach) โดยเหล่าผู้ที่ได้ยินวีรกรรมของเธอ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ขอขอบคุณข้อมูล : The SUN
edit : thongkrm_virut@yahoo.com

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง?

 ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??

ที่ จังหวัดพิษณุโลก พาไปดูตู้ไปรษณีย์แบบใหม่ นอกจากรับจดหมายแล้ว ยังชาร์ตโทรศัพท์มือถือ และตอบคำถามได้ด้วย 
ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??

ที่ จ. พิษณุโลก พาไปดูตู้ไปรษณีย์แบบใหม่ นอกจากรับจดหมายแล้ว ยังชาร์ตโทรศัพท์มือถือ และตอบคำถามได้ด้วย
เมื่อวานนี้ (วันที่ 15 ส.ค 60) ผู้สื่อข่าวพาไปดูตู้ไปรษณีย์แบบใหม่ พร้อมป้ายประชาสัมพันธ์ว่า "พี่ตู้รู้ทุกเรื่อง อยากรู้อะไรสแกนเลย" ถูกแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์ ของชาวจังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากเป็นตู้ไปรษณีย์ ที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขนาด 20 วัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายผ่านพอร์ต USB สามารถชาร์ตโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตได้ฟรี จากพลังงานแสงอาทิตย์ บริเวณข้างตู้ยังมีคิิวอาร์โค้ด ใช้สามารถสแกนหาเพจแนะนำแหล่งท่องเที่ยว และร้านอาหารได้อีกด้วย
ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??

ตู้ไปรษณีย์ดังกล่าว ติดตั้งในสถานีรถไฟ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อย่างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร และศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ โดยตู้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ต้องการให้ไปรษณีย์ไทยใหม่ ตอบสนองความต้องการของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยนำร่อง ที่จังหวัดพิษณุโลก 28 ตู้ ออกแบบลวดลายให้ตรงกับข้อมูลท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ
ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??
ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??
ไม่ธรรมดา!! เมื่อพิษณุโลกผุดไอเดียเก๋!! ตู้ไปรษณีย์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำอะไรได้บ้าง??

ขอบคุณภาพและเนื้อหาข่าวจาก : workpointtv, http://www.workpointtv.com/news/46947
edit : thongkrm_virut@yahoo.com

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ภัยธรรมชาติ ที่คร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ ..รวมทั้งป่า..โอ้..ช่างโหดร้าย ..ไฟป่าใน.Australian ..สุดโหด..

ภัยธรรมชาติ ที่คร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ ..รวมทั้งป่า..โอ้..ช่างโหดร้าย ..ไฟป่าใน.Australian ..สุดโหด..


Image result for ไฟป่าที่ Australia

Image result for ไฟป่าที่ Australia

Image result for ไฟป่าที่ Califonia usa
 

แคลิฟอร์เนีย บ้านเรือนถูกไฟป่าเผาไหม้ไม่เหลืออะไร มันโหดร้ายสุดๆ
Image result for ไฟป่าที่ Califonia usa
 

ไฟป่า อันตรายสุดๆ เพราะไฟป่ามันไหม้บนต้นไม้สูงๆ เมื่อมีลมพัดแรง
ใบ้ไม้ที่ติดไฟมันปลิวไปตกที่ถัดไป มันลามไปอย่างรวดเร็ว  เคยประสบ
มาเมื่อครั้งไฟป่าไหม้ สวนที่อยู่ไม่ไกลกับวัดเขาสุกริม จันทบุรีคะ แต่
สมัยนั้น พวกชาวบ้านมาช่วยกันดับนับร้อยคน สกัด ไฟป่าใว้ได้คะ 
เพราะบริเวณสวน มีลำธานไหลผ่าน ชาวบ้านจึงเอาน้ำจากลำธารมา
ดับ ใช้กระบอกฉีดน้ำ ดับไฟป่าได้คะ คนไทยนี่ช่วยเหลือกันสุดยอด
มากคะ ไม่กลัวไฟป่า ตระโกนกู่กันลั่น ไม่ต้องใช้โทรศัพท์ ติดต่อใน
สมัยนั้นไม่มีใครมีมือถือ ปากนี่แหละตระโกนกู่โวก เวกลั่นป่านะคะ 
Related image
 

ควันไฟเนี่ย ตัวอันตรายสุดๆคะ เราต้องอยู่เหนือ ลม ถ้าอยู่ใต้ ลม ควันไฟ
คลุมตัวเราอาจเสียชีวิตได้ เพราะหายใจไม่ออกนะค่ะ ฉะนั้นต้องอยู่ในด้าน
เหนือลม หรือใช้ผ้าคลุมจมูกใว้ คนไทยสมัยนั้น มีความชำนาญ เรื่อง
ดับไฟป่าคะ ไม่มีใครได้รับอันตรายเลยคะ 

 

 

มีโคอาล่าโดนไฟเผาตรงแขนสองข้าง
ตอนนี้กะลังทำแผลแช่อยู่ในอ่างน้ำ น่าสงสารมากครับป้าพลอย
ผมไม่เอาภาพมาแปะ  ผมไม่อยากเห็นอีก
เหมือนเด็กทารกกะลังบาดเจ็บ
 
ป้าเห็นแล้วภาพ จิ้งโจ้ ไฟลวก และ โคอาล่า  เลยไม่เอามาแชร์ให้ดู 
สะท้อนถึงความโหดร้าย ยิ่งเห็นสัตว์เลี้ยงในบ้านที่ Califonia ถูก
ย่างสด เพราะบ้านถูกเผา ไม่อาจช่วยสัตว์ในบ้านได้ เห็นแล้วสงสาร
ตุงไม่เอามาให้ดูคะ
 

น่ากลัวสุดๆนะคะหมอบีเว่อร์  ปลิวไฟสูงหลายเมตรแบบนี้ ดับไม่ไหวแล้วคะ 
เพราะต้นไม้ที่มีน้ำมันอยู่ในใบ มันจะเป็นเปลวเพลิงได้เป็นอย่างดีคะ ดับยาก
ป้าเห็นตอนไฟป่าไหม้ในฝรั่งเศส ต้นสนไหม้ไฟได้ดีมาก เปลวไฟสูงหลายเมตร
เนื้องจากใบสน อมน้ำมัน ยางสน ทางฝรั่งเศสใช้เป็นเทียนไข เมื่อทำใส้จุด แบบ
เทียนส่งกลิ่นหอมฟุ้งมากคะ ยางสนเหนียวและข้น จุดไฟติดคะ หมอบี
ขอขอบคุณข้อมูล : CNN
 

Nile River ..ไขปัญหาแม่น้ำ ไนล์ เหตุใดยังไหลไม่เปลี่ยนทิศทางมา 30 ล้านปี..?

Nile River ..ไขปัญหาแม่น้ำ ไนล์ เหตุใดยังไหลไม่เปลี่ยนทิศทางมา 30 ล้านปี..?




Image result for nile river map

ม่น้ำไนล์ซึ่งเป็นทั้งอู่อารยธรรมและเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีความลึกลับชวนพิศวงหลายข้อที่นักภูมิศาสตร์หรือนักธรณีวิทยายังไม่สามารถหาคำตอบได้ โดยหนึ่งในนั้นคือปริศนาที่ว่า เหตุใด “แม่น้ำอันเป็นนิรันดร์” สายนี้ ไม่เคยเปลี่ยนทิศทางการไหลไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลาหลายสิบล้านปีที่ผ่านมา
โดยทั่วไปแล้ว แม่น้ำที่มีอายุเก่าแก่มักจะต้องเปลี่ยนทิศทางการไหลไปบ้างตามกาลเวลา เนื่องจากเกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศโดยรอบหรือภูมิอากาศ แต่แม่น้ำไนล์นั้นกลับไหลอย่างคงที่ในเส้นทางเดิมได้ยาวนาน จากพื้นที่เขาสูงในเอธิโอเปีย ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ปากแม่น้ำในอียิปต์ คิดเป็นระยะทาง 6,650 กิโลเมตร
ล่าสุดรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience ระบุว่าพบหลักฐานที่ชี้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวแล้ว โดยทีมนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตออสตินของสหรัฐฯ ค้นพบว่า ธรณีสัณฐานข้างใต้แม่น้ำไนล์ ซึ่งมีลักษณะลาดเอียงลงเรื่อย ๆ จากทางทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือของทวีปนั้น สามารถจะคงตัวอยู่ได้ด้วยระบบการไหลเวียนของเนื้อโลกหรือแมนเทิล (Mantle) แบบพิเศษ
ชั้นของเนื้อโลกซึ่งอยู่ระหว่างเปลือกโลกและแก่นโลก ประกอบด้วยหินแข็งและโลหะซึ่งเคลื่อนที่ได้อย่างช้า ๆ เพราะขับเคลื่อนด้วยกระบวนการพาความร้อน (Convection) จากแก่นโลกขึ้นมายังพื้นผิวด้านบน
NASA
ภาพถ่ายจากสถานีอวกาศนานาชาติ เผยให้เห็นแม่น้ำไนล์ไหลคู่ขนานไปกับชายฝั่งทะเลแดง ก่อนลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
การไหลเวียนชนิดนี้เป็นแบบสายพาน ซึ่งดันให้พื้นที่ต้นน้ำในเอธิโอเปียยกตัวสูงขึ้น และดึงให้แผ่นดินที่รองรับสายธารช่วงต่อมาค่อย ๆ ลาดต่ำลงไปทางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ จนทำให้ความแตกต่างระหว่างความสูงของพื้นที่ต้นน้ำกับปลายน้ำมีมากถึง 1.5 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ทีมผู้วิจัยยังพบหินภูเขาไฟชนิดเดียวกับที่พบบริเวณต้นน้ำในแถบเขาสูงของเอธิโอเปีย กระจายตัวอยู่ในชั้นดินตะกอนก้นแม่น้ำตลอดสายด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าแม่น้ำไนล์มีอายุเก่าแก่เท่ากับพื้นที่ต้นน้ำคือ 30 ล้านปี นับว่ามากกว่าอายุของแม่น้ำที่เคยมีผู้สันนิษฐานไว้ก่อนหน้านี้ถึง 6 เท่า
ศาสตราจารย์ คลอดิโอ ฟาซเซนนา ผู้นำทีมวิจัยกล่าวว่า “ถ้าไม่มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาและระบบไหลเวียนของเนื้อโลกที่คงทนอยู่หลายสิบล้านปีเช่นนี้ แม่น้ำไนล์คงจะเปลี่ยนเส้นทางของกระแสน้ำไปยังทิศตะวันตกของแอฟริกานานแล้ว ซึ่งก็จะทำให้ประวัติศาสตร์โลกและพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย
Image result for nile river map

ตลอดเส้นทางแม่น้ำ จากประเทศ Egypt until ประเทศ  Ethiopia
ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในแถบ ประเทศในแอฟริกา เดี๋ยวให้ป้า ก็อปภาพมาใว้
ก่อน แล้วค่อยมาขยายต่อนะคะ

ตอนนี้เรื่องการเมืองไทย คนไทยนำมาโพสต์ด่ากันทุกวันแล้ว ฉะนั้น ป้าพลอยขอ
เปลี่ยนบรรยากาศ นำโลกภายนอกมาโพสต์ เพื่อบรรเทาความเครียดขืนเสพแต่
เรื่องในประเทศไทย มีหวัง โรคประสาท ถามหานะคะ ...เรายังต้อง เซฟ ความแข็ง
แกร่ง เพื่อ สู้ กับ Dictator bandit gang ไปอีกนาน ...ดูท่าแลัวมันไม่ยอมไปง่ายๆ..

Nile Rever อยู่มาพันปีไม่เคยเปลี่ยนทิศทางแต่ Kong Rever เส้นเลือดใหญ่
แห่งอาเซียนได้เปลี่ยนทิศทางแล้วและจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเส้นเลือดสายนี้
พม่าไทยลาวเขมรใช้หล่อเลี้ยงผู้คนกันมานับ 100 ปีมาถึงยุคนี้ได้แห้งลงแล้ว
อาเซียนไม่มีใครเดือนร้อนเลยไม่เอะปากกันเลยสักนิดว่าทำไมน้ำถึงแห้งต้นเหตุสาเหตุ
มาจากไหนไม่มีใครกล่าวพูดถึง 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2562

“จีนสั่งให้ไปก้องเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น ถูกลวงทั้งก้องทั้งซิ่ว ไม่มีอายขายหน้า โง่งมงายตลอด”


พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ไม่ปรากฏนามศิลปิน, สีฝุ่น สมัยรัชกาลที่ 4 ประดิษฐานในพระที่นั่งอัมพรสถาน กรุงเทพฯ 
(ภาพจากหนังสือจิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนัก เล่มที่ 1)

 วาทะประวัติศาสตร์

“จีนสั่งให้ไปก้องเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น ถูกลวงทั้งก้องทั้งซิ่ว ไม่มีอายขายหน้า โง่งมงายตลอด”

บางส่วนของพระบรมราชวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเผยแพร่แก่สาธารณะเมื่อปี 2411 กรณีการส่งจิ้มก้อง หรือเครื่องบรรณาการไปยังประเทศจีน

“…ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินไทยในเวลาล่วงแล้วนั้น ไม่มีความกระด้างกระเดื่องว่าพวกจีนล่อลวงให้เสียยศ จีนสั่งให้ไปก้องเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น ถูกลวงทั้งก้องทั้งซิ่ว ไม่มีอายขายหน้า โง่งมงายตลอดลงมาหลายชั่วอายุคน ความโง่เป็นไปทั้งนี้ ต้นเหตุใหญ่เพราะว่าหนังสือจีนรู้โดยยากที่สุด ไม่เหมือนหนังสือไทยแลหนังสือต่างประเทศทั้งหลายพอจะรู้ได้บ้าง ก็ไทยแท้มิใช่บุตรจีนรู้หนังสือจีนก็ไม่มี ก็เมื่องมงายโง่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว พระเจ้าแผ่นดินไทยทั้งหลายในเวลาก่อนนั้น แลเสนาบดีไทยก็โง่งมมาด้วยหลายชั่วแผ่นดินนั้น เพราะความมักง่าย ครั้นทูตเก่าแลล่ามเก่าตายไปหมดแล้ว ได้ยินว่าคราวหนึ่งมีล่ามจีนเป็นคนซื่อแปลความตามฉบับหนังสือจีนที่จริงแจ้งความจริงให้ท่านเสนาบดีไทยในเวลาที่ล่วงแล้วเป็นลำดับมานั้นให้รู้แท้แน่ว่า จีนกวางตุ้งดูหมิ่นดูแคลนมีหนังสือมาสั่งให้ไปก้อง คือให้ไปอ่อนน้อม…”
บางส่วนของพระบรมราชวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเผยแพร่แก่สาธารณะเมื่อปี 2411 กรณีการส่งจิ้มก้อง หรือเครื่องบรรณาการไปยังประเทศจีน
ทั้งนี้ ธรรมเนียมการจิ้มก้องของรัฐบนดินแดนไทยในอดีตมีมานานหลายร้อยปี อาจจะมีขาดช่วงไปบ้าง แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นเรื่อยมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ และแม้จะมีลักษณะของการแสดงความนอบน้อมต่อรัฐใหญ่ แต่การอยู่ในสถานะรัฐบรรณาการของจีนก็ทำให้รัฐไทยสมัยนั้นๆ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน และข้อสังเกตอีกประการคือ สยามส่งเครื่องบรรณาการไปให้จีนเป็นครั้งสุดท้ายคือปี พ.ศ. 2396 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอง ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่จีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นรอบแรกมาแล้ว หลังจากนั้นอีกสองปี สยามก็ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง จากนั้นอีกเพียงหนึ่งปีก็เกิดสงครามฝิ่นขึ้นอีกครั้ง ช่วงระยะเวลาดังกล่าวจึงเป็นภาวะที่จีนกำลังตกต่ำอย่างหนัก ขณะที่อิทธิพลของอังกฤษกำลังเฟื่องฟู


อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ หน้าหนึ่งในสยาม โดย ไกรฤกษ์ นานา

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2562


วิหารพันปีขนาดยักษ์ที่ถูกแกะสลักจากหินก้อนเดียว นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่ 8

วัด kailasa ถูกแกะสลักอย่างน่าอัศจรรย์จากหินก้อนเดียว นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันว่า 'ถ้ำ 16' ของถ้ำ ellora และเป็นที่รู้จักกันสำหรับการเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกแกะสลักออกจากหินก้อนเดียว อินเดีย



ถ้าพูดถึง “7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก” หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าที่ไหนที่ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกบ้าง เพราะการจัดอันดับเหล่านี้มีมาหลายยุคหลายสมัย แต่ถ้าเรานับจากการจัดอันดับจากองค์กร The New Open World Corporation (NOWC) ในปี ค.ศ. 2007 ที่ระบุ “7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่” ได้สรุปเอาไว้คือ กำแพงเมืองจีน, วิหารชีเชน อิตซา, รูปปั้นพระเยซูคริสต์, นครเปตรา, มาชูปิกชู, โคลอสเซียม และ ทัชมาฮาล แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า บนโลกเราใบนี้ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งอีกมากมาย และวันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านไปรู้จักกับอีกหนึ่งสิ่งที่ชาวเน็ตยกให้เป็น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่ 8 เลยทีเดียว
วิหารไกรลาส (Kailasa Temple) คือวิหารที่ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย ที่ถูกแกะสลักขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 8 ในสมัยจักรวรรดิราษฏรกูฏ เพื่ออุทิศให้กับพระศิวะ เทพเจ้าผู้สูงส่งตามความเชื่อของชาวฮินดวิหารที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปีแห่งนี้ ถือเป็นโบราณสถานของชาวฮินดูที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องทึ่งก็คือ วิหารทั้งหมดถูกแกะสลักจากก้อนหินก้อนเดียวเข้ามาบนเนินของภูเขา
นักโบราณคดีได้คำนวนน้ำหนักหินก้อนนี้ คาดว่ามันน่าจะมีน้ำหนักมากถึง 4 แสนตัน
ถ้าคุณอยู่ในจุดที่เหมาะสมบนเทือกเขาหิมาลัย ก็จะสามารถมองเห็นวิหารไกรลาสได้ ซึ่งชาวฮินดูเชื่อว่านี่คือที่สถิตย์ของเทพเจ้า
สถาปัตยกรรมโบราณที่มีอายุนับพันปีแห่งนี้ ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องงุนงงกับความสามารถของคนโบราณ ที่ล้ำหน้ากว่าที่คิดมากนัก
อ้างอิงจากนักโบราณคดี การแกะสลักวิหารที่ยิ่งใหญ่และมีรายละเอียดมากขนาดนี้ในยุคโบราณ ควรจะต้องใช้เวลานับร้อยปี
แต่จริงๆ แล้ววิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างไม่ถึง 18 ปีด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้น ตัววิหารทั้งหมดยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดพอๆ กับทัชมาฮาล
งานแกะสลักบริเวณกำแพงต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อตามตำนานของชาวฮินดูเอาไว้อย่างละเอียด
และด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ จึงทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างยกให้วิหารไกรลาส ควรจะเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั่นเอง
ขอขอบคุณที่มา : boredpanda |และผู้เรียบเรียงโดย เพชรมายา