วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 ข้อปฏิบัติเพื่อการเติบโตของ จิตวิญญาณ


10 ข้อปฏิบัติเพื่อการเติบโตของ จิตวิญญาณ ::
.
1. ทดลอง สละสิ่งของที่รัก ห่วงอะไรมาก ของสะสมอะไรที่รักที่สุด ลองยกให้คนอื่น ให้ชิ้นที่รักที่สุด ห่วงที่สุด สละมันออกไปให้บุคคลที่เหมาะสม แล้วเราจะเห็นการสั่นสะเทือนของใจ เมื่อตัดวัตถุที่รักห่วงแหนที่สุดได้แล้ว ความเป็นนักสะสมของเราจะลดลงมาก วัตถุอื่นๆ ย่อมลด ละ เลิก ได้ง่ายขึ้น
.
2. ทดลอง พูดเท่าที่จำเป็น พูดแต่ความจริงที่เป็นประโยชน์ ส่วนเรื่องไม่จริง และความจริงที่ไม่เป็นประโยชน์ให้งดเว้น เมื่อพูดน้อยลง เราจะเห็นใจตนเองชัดเจนขึ้น เห็นจังหวะ เห็นอัตตาพุ่งพล่าน เราจะเห็นเลยว่า การใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น คือคุณธรรมขั้นสูงที่หาผู้ปฏิบัติได้ยากนัก
.
3. ทดลอง ทำดีกับผู้ที่เราไม่ชอบ เมื่อทำเช่นนี้ เราจะปรากฏการณ์สามสิ่งหนึ่ง เราเห็นความเร้าร้อนในใจของตนเอง เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีปฏิกริยาตอบสนองในทางที่ไม่ดีกลับมา ใจเราจะดิ้นพล่านเหมือนถูกน้ำร้อนราด สอง เราจะเห็นว่า บางครั้ง ที่เราไม่ชอบเขานั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรุงแต่งของเราเอง ไม่ใช่ความเลว หรือความชั่วของเขาทั้งหมด สาม เมื่อเราดีกับเขาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ ยอมรับ หรือปฏิเสธ เราจะเห็นความสุขที่ผุดขึ้นกลายใจของเราเอง

"เมื่อเราทำดีกับผู้ที่เราเกลียดได้ เราย่อมทำดีกับคนทั้งโลกได้ไม่ยาก"
.
4. ทดลอง ทำงานที่ตนเกลียด และรังเกียจด้วยความสุข ทำงานที่ต่ำที่สุดด้วยความสุข ทำงานที่เลอะเทอะ สกปรกที่สุดด้วยความสุข เมื่อเราทำงานที่ไม่ชอบได้อย่างมีความสุข ก็ไม่มีงานชิ้นใด ที่เราจะทำไม่ได้อีกต่อไป ใจของเราจะทำงานเพื่องานมากขึ้น แล้วงานที่เราทำ จะกลายเป็นงานที่เปิดโอกาสให้เราได้อยู่กับปัจจุบันมากขึ้นด้วย
.
5. ทดลองกินน้อย ไม่ตามใจปาก คนทั้งโลกมักให้รางวัลตนเองด้วยการกิน แต่บางครั้งอาจได้ประโยชน์กว่า ถ้าเราลองปล่อยให้ตัวเองรู้สึกหิวในบางเวลา เมื่อหิว จงสังเกตความหิว สังเกตการเกิดและดับของมัน สังเกตการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างความรู้สึกหิวและร่างกาย เมื่อเราสังเกตให้ดี ใจเราจะเห็นถึงความทุกข์อันเกิดจากความไม่เที่ยงแท้ของกาย จะกลายเป็นผู้ไม่ยึดติดในรสอร่อย แต่กินเพื่อประโยชน์ เพื่อแก่นสารของชีวิตอย่างแท้จริง
.
6. ทดลอง ประกาศความเลวของตนเอง และประกาศความดีของผู้อื่น

ทำได้เช่นนี้ เราจะกลายเป็นคนที่อ่อมน้อมถ่อมตนมากขึ้น เป็นมนุษย์มากขึ้น จริงใจมากขึ้น และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องใส่หัวโขนที่ไม่ใช่ตนเองอีกต่อไป
.
7. ทดลอง ปฏิเสธผลประโยชน์ ชื่อเสียง เงินทอง และสิ่งที่กิเลสโหยหา ทดลองเล่นกับความต้องการของตนเอง เล่นกับความปราถนาส่วนลึกของตนเอง ฝึกทำสิ่งเหล่านี้เป็นระยะๆ แล้วเราจะกลายเป็นผู้อยู่เหนือ ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง เป็นผู้เห็นความจริงของชีวิต เป็นผู้อยู่เหนือสิ่งแวดล้อม เพราะมีใจเป็นอิสระ
.
8. ทดลอง #ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ใช่ฝืนธรรมชาติ ตื่นนอน หลับตา ตามเข็มนาฬิกาของพระอาทิตย์และพระจันทร์ เราไม่อาจเข้าใจธรรมชาติจนถึงที่สุดได้ ถ้าไม่ไหลตามกระแสของธรรมชาติ อย่าตั้งกติกาใหม่ที่ขัดกับหลักธรรมชาติ จงฟังเสียงความเงียบให้เป็น ฟังเสียงลมให้เป็น เห็นความงามของความน่าเบื่อให้เป็น เห็นความงามของความน่าเกลียดให้เป็น เพราะทั้งขาวและดำคือธรรมชาติของชีวิต ให้สิ่งเหล่านี้บอกเล่า และสอนเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติของความจริง อย่าได้ใช้ชีวิตด้วยการทำสงครามกับธรรมชาติ อย่าได้เลือก หรือปฏิเสธทั้งความมืดและความสว่าง จงน้อมรับทั้งสองสิ่งด้วยความเบิกบาน จงตื่น นอน กิน ให้พอเหมาะ พอดี ลองถามธรรมชาติดูบ้าง ว่าอะไรกันแน่คือความพอดีที่แท้จริง

9. ทดลองหาความแปลกใหม่จากการเดิน การนั่ง และการนอน ความจริงแล้ว การเดิน นั่ง และการนอนเป็นเรื่องของความสดใหม่ ไม่ใช่เรื่องซ้ำซาก ถ้าเรานั่ง เดิน และนอนให้เป็น

สิ่งเหล่านี้จะสร้างสติปัญญาให้เราได้มากมาย อย่ามองหาความท้าทายจากกิจกรรมที่ต้องรอคอย จงมองหาความท้าทายจากกิจกรรมที่เป็นพื้นฐานของชีวิต

ปราชญ์ทั้งหลายมีดวงตาเห็นธรรมก็เพราะกิจกรรมที่เป็นแก่น แกน ราก ไม่ใช่กิจกรรมที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นจากกิเลสตันหา ผู้ใดมีสติปัญญาสามารถทำเรื่องธรรมดาที่สุด ให้กลายเป็นเรื่องพิเศษที่สุดได้ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่มีความสุขง่ายดายที่สุดในโลก
.
10. ฝึกแยกกาย ความคิด และจิต อย่าให้จิตแนบอยู่กับความคิด ถอนตัวเราออกมาจากความคิด ทำทุกอย่างภายใต้ความนิ่งสงบ เมื่อมีสิ่งใดต้องทำ จงทำให้เร็ว ทำให้เร็วกว่าความท้อใจจะมาถึง ทำให้เร็วกว่าความเกียจคร้านจะมาเยือน ทำให้เร็วกว่ากิเลสตันหาจะมาครอบงำ เมื่อทำแล้ว ให้กลับสู่ความนิ่ง เงียบ และสงบ

จงเป็นยอดดาบที่คมกริบ ชักจากฝักเมื่อคราวจำเป็น ตวัดดาบให้เร็ว แล้วนำกลับเข้าฝักทันที อย่าทำตนเป็นมีดพร้าราคาถูกที่มีเพียงเสียงขู่ แต่ไม่อาจสำแดงอานุภาพ การงานใดๆของชีวิต เมื่อต้องทำ จงทำให้เร็ว

เมื่อทำหน้าที่จนสมควรแก่เหตุแล้ว ต้องรู้จักจบและพอ ทำได้เช่นนี้ การงานจะมีประสิทธิ์ภาพสูงสุด ไม่ถูกความโลภครอบงำ ช่วงเวลาแห่งการทำงาน จะกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะสติปัญญา ยิ่งทำงานมาก สติปัญญายิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี
.
ทดลองฝึกสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น เพิ่มน้ำหนักให้หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
จนสามารถรับได้ และคุ้นเคย เมื่อมีความคุ้นเคยแล้วระดับหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้จะพัฒนากลายเป็นอุปนิสัย กลายเป็นเนื้อเดียวกับชีวิต

จริงอยู่ เมื่อแรกเกิด ลืมตาดูโลกเราทั้งหลายล้วนเป็นปุถุชน
คิดแบบปุถุชน พูดแบบปุถุชน และทำแบบปุถุชน แต่ในเมื่อมนุษย์นั้นเป็นสัตว์โลกที่พัฒนาได้ เรามิได้โง่งมดังหมู หมา กา ไก่ เมื่อเป็นอย่างนี้
เราจะรักและหวงแหนความเป็นปุถุชนของเราไว้ทำไม
ทิ้งความเป็นปุถุชนของเราไว้ในโลก แล้วตายไปพร้อมกับความเป็นอริยชน จะดีกว่าไหม!
.
ขอบคุณบทความจาก : พศิน อินทรวงค์

วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้น


วิธีทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้น



ผมเพิ่งเกษียณมาได้ปีกว่า ตัดสินใจที่จะไม่ทำงานต่อ
เพราะมีเงินมีทองพอใช้ไม่ขัดสนแล้ว อยากจะใช้วัน
เวลาเกษียณแบบอยู่กับบ้านสบายๆบ้าง แต่ว่าไม่มีคน
ใช้นะครับ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียวเงิน

วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้นสบาย
ขึ้นดีไหม วิธีทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้น เช่น ..

1. เก็บของที่ไม่ใช้,เลิกใช้, เอาไปบริจาคให้ผู้เดือด
ร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไป
เสียดายครับ ของที่ไม่ใช้แล้วเลย

2. ลดงานที่เครียดๆลงบ้าง เช่น งานประชุมที่เอา
จริงเอาจัง งานที่แข่งขันและหวังผลสูง ถ้าเลือกได้
ลาออกจากการเป็นกรรมการ อะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็
ได้ บรรยากาศการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความ
เครียดหลั่งตลอดเวลา ..รู้ไหม ?

3. เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้น ไม่
เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

4. อ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารให้น้อยลง โดย
เฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆที่ซ้ำกันทุกวัน

5. เลิกดูรายการทีวีที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ
ที่ซ้ำๆกันทุกวัน เช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน,
พูดแข่ง,พูดแซวกัน 2-3 คน ดูไป ฟังไป แทนที่จะ
สบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ

6. อย่ารับปากและสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆง่ายๆ
ด้วยความเกรงใจเลย หัดปฏิเสธให้เป็น

7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นๆเลย .. ทำได้
ยากมาก จะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัว
คนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรับคนอื่น
และยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด .. ถ้ารักไม่ลงก็
มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงไป
ด้วย เมื่อเวลาเวลาผ่านไป เราหันไปมองเขาใหม่ เรา
จะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น

8. หัดไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นเพื่อนตนเองได้
จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไร
หรือไปไหนได้มากขึ้น

9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศ
ชื่อเสียงบ้าง จะทำให้คุณไม่เครียดกับงานเฆี่ยนต้ว
เองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอด
เวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลย ไม่
ว่าจะได้มามากเท่าไร

10. ถ้าจะรักใครสักคน อย่าหลงรักเขาทั้งหมดของ
ชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียง
จะอยู่ข้างๆเขาก็พอแล้ว การรักแบบนี้จะทำให้รักกัน
ได้นานๆ

11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึก
ที่ไม่ดีออกไปให้หมด

ลองทำตามที่แนะนำมานะครับ จะรู้สึกว่าชีวิตโล่ง
และเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆไม่คับแคบ
หรือรัดตรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ ความ
คล่องตัวจะมีมากขึ้น จนคุณแปลกใจตัวเอง

โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ ( จิตแพทย์ )
ภาพ : http://www.naewna.com/columnist/1046
edit : thongkrm_virut@yahoo.com


วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

“กินยาพร่ำเพรื่อ” พฤติกรรมเสี่ยงคนยุคใหม่

“กินยาพร่ำเพรื่อ” พฤติกรรมเสี่ยงคนยุคใหม่
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เมื่อรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะคล้ายจะเป็นไข้ สิ่งที่คุณทำคือเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวที่มักจะมีติดบ้านอยู่เสมออย่าง “พาราเซตามอล” สองเม็ด โยนเข้าปาก แล้วดื่มน้ำตาม หรือเมื่อปวดท้อง เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ จาม เป็นหวัด คุณก็จะหยิบยาแก้โรคนั้นๆ กินเอง แล้วก็บอกตัวเองว่า คุณเป็นคนที่ดูแลร่างกายดี ไม่ปล่อยปละละเลยอาการใดๆ เมื่อผิดปกติก็หายากินแล้วละก็ คุณกำลังคิดผิดมหันต์ หนำซ้ำสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น อาจก่อผลร้ายอย่างยิ่งต่อชีวิตคุณในระยะยาว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “ไมเคิล แจ็กสัน” King of Pop ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นกันว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใช้ยามากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะยาแก้ปวดที่มีข้อมูลว่า ไมเคิลใช้ถึง 3 ชนิดด้วยกัน เช่นเดียวกับบรรดานักร้องหรือไฮโซเมืองไทยที่มีรายงานว่ามีไม่น้อยที่ติดยาประเภทที่ซื้อได้ถูกกฎหมาย อย่างยาแก้ปวดหรือยาคลายเครียดบางตัว เป็นต้น
ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม (วจภส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ภาพสาเหตุของการกินยาพร่ำเพรื่อของคนไทยว่า แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ หนึ่ง - กินเพราะติดยาชนิดนั้น ซึ่งลักษณะอาการติดจะคล้ายกับผู้ติดยาเสพติด การติดชนิดนี้จะเกิดในกรณีการกินยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และ สอง - กินเพราะติดที่จะกินยานั้นๆ เป็นนิสัย โดยเกิดขึ้นในกรณีการกินยาที่ไม่มีส่วนผสมของยาเสพติด แต่กินเป็นเวลานานๆ จนกลายเป็นการเสพติดในเชิงพฤติกรรม
“เคยมีโอกาสทำวิจัยกับทาง อย. และสหรัฐอเมริกา มีข้อมูลน่าสนใจมากอย่างหนึ่ง คือ ในบ้านเรามีการใช้ยานอนหลับและคลายประสาทที่ชื่อว่า ดอมิคุ่มและโซแลมสูงมาก โดยเฉพาะโซแลม มีการใช้ปีละเป็นล้านเม็ด สูงที่สุดที่เคยมีคือ 3 ล้านเม็ดต่อปี ใช้กันทั้งในรูปแบบของยากินและยาฉีด คือนำเม็ดมาบดละลายน้ำแล้วกรองฉีด แม้จะเป็นยาควบคุม แต่ก็มีคนมาบอกเหมือนกันว่ามีการซื้อขายกันอยู่ โดยเฉพาะตามคลินิกเอกชน คนที่ติดยาเสพติดจะรู้ว่าเมื่อขาดยาเสพติดแล้วเขาจะหายาประเภทโซแลมซึ่งหาซื้อง่ายกว่าได้ที่ไหนบ้าง กฎหมายบ้านเราเปิดช่องสารพัดให้แก่คลินิกเอกชน”
ผศ.ดร.ภญ.นิยดาให้ข้อมูลต่อไปว่า นอกจากยาชนิดที่กล่าวมาแล้ว ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่คนไทยนิยมใช้ไม่แพ้กันก็คือ “ยาแก้ไอ” ที่มีส่วนผสมของ “โคเดอีน” ซึ่งถูกวัยรุ่นนำมาผสมแอลกอฮอล์ภายใต้ชื่อที่รู้จักกันดีในแวดวงผู้ติดว่า “สี่คูณร้อย”
แต่ที่น่าห่วงไม่แพ้กันก็คือ พฤติกรรมการใช้ยาแบบพร่ำเพรื่อฟุ่มเฟือย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการบันทึกข้อมูลสถิติตัวเลขการใช้ยาแบบชัดเจน แต่เท่าที่เก็บข้อมูลแบบคร่าวๆ พบข้อมูลในเชิงปริมาณว่าในประเทศไทย คนไทยนิยมซื้อยามาก ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลที่ออกฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ รวมไปถึงยาปฏิชีวนะ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างยิ่ง
“คนไทยเรามีนิสัยกินยาแบบฟุ่มเฟือย และมองว่ายาเป็นของดี มีประโยชน์ ซึ่งจริงๆ มันก็มีประโยชน์ในกรณีที่ป่วย แต่ส่วนใหญ่จะไม่มองข้อเสีย ไม่มองโทษว่ามันมีผลข้างเคียงอย่างไร เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้แต่ยาแก้ปวดที่ใช้กับสามัญประจำบ้านอย่างพาราฯ ก็ยังมีผลเสียต่อตับและไตหากกินไปนานๆ
ยิ่งยาปฏิชีวะก็เป็นอีกตัวที่คนไทยใช้ฟุ่มเฟือย แค่รู้สึกเจ็บคอนิดหน่อย หรือปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อยก็กินกันแล้ว แทนที่จะดูที่ต้นเหตุว่าแท้จริงแล้วอาการเจ็บคอนั้นมาจากเชื้อไวรัสหวัดจริงๆ หรือเกิดจากการพักผ่อนน้อย ซึ่งหากเกิดจากประการหลังไม่จำเป็นต้องกินยา แค่พักผ่อนมากๆ อาการก็จะหายได้เอง นอกจากนี้เมื่อกินพาราฯ เข้าไป มันจะเข้าไปกดอาการปวด ทำให้เราละเลยสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงนั้นอันตราย ก็จะทำให้เสียโอกาสการรักษาที่ทันท่วงทีไป”
ผศ.ดร.ภญ.นิยดาให้แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดของการใช้ยาว่า การใช้ยาที่ปลอดภัยที่สุดคือ ใช้ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ โดยต้องหาสาเหตุการเจ็บป่วยไม่สบายที่เกิดขึ้นเสียก่อนว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ ไม่ใช่ว่าหากรู้สึกปวดก็กินพาราเซตามอล และหากป่วยจริงๆ และต้องกินยา สิ่งที่ต้องใส่ใจที่สุดเกี่ยวกับยา คือฉลากบ่งวิธีใช้ ต้องอ่านให้ละเอียด สรรพคุณ การออกฤทธิ์ ขนาด สัดส่วนในการใช้ ข้อปฏิบัติในการใช้ ข้อห้าม รวมถึงข้อควรระวังของยาตัวนั้นๆ
“ในส่วนของฉลาก คนไทยใช้ยาตามความเคยชิน อย่างพาราฯ ปกติกินสองเม็ด ซึ่งเท่ากับพันมิลลิกรัม ถ้าบางคนน้ำหนักน้อยก็ถือว่าพันมิลลิกรัมนี้มากไป ต้องอ่านฉลากให้ละเอียดว่ามันออกฤทธิ์อย่างไร สรรพคุณอะไร แก้อะไรดูให้ชัดเจน ต้องกินขนาดไหนจึงจะพอดี รวมถึงข้อห้าม ข้อควรระวัง ข้อเสีย อย่างพาราฯ วันหนึ่งไม่ควรกินเกินแปดเม็ด ข้อควรระวังของยาชนิดนั้นๆ เป็นเรื่องที่สำคัญและต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และมันจะทำให้เรารู้ด้วยว่า ยานั้นๆ มันมีข้อเสียด้วย ไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความระมัดระวังมากขึ้น ”
ผศ.ดร.ภญ.นิยดายังแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การใช้ยาของคนไทยในขณะนี้ว่า ก่อนหน้านี้คนไทยนิยมยาแก้ปวดพาราเซตามอล แต่ตอนนี้ความนิยมเปลี่ยนไปสู่ยาประเภทไดโคฟิแนค หรือบูเฟ่น ที่ออกฤทธิ์ต้านอักเสบ แก้ปวดบวม อักเสบ แก้ปวดข้อ ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก มีโอกาสตีกับยาชนิดอื่นๆ สูง และส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัว ซึ่งลักษณะนี้เหมือนกับแอสไพริน หากใช้ในผู้ป่วยโรคเลือดเช่นไข้เลือดออก จะมีผลข้างเคียงที่อันตรายได้
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัญหาในประเด็นของการยกเลิกยาที่ควรเลิกใช้ มียาหลายตัวที่ต่างประเทศประกาศยกเลิกใช้แล้ว แต่ประเทศไทยยังคงใช้อยู่ เช่น ยาไดเซนโต้ที่เป็นยาแก้ท้องเสียหลายประเทศก็เลิกใช้แล้ว แต่บ้านเราใช้อยู่ ในขณะที่การจดทะเบียนยาใหม่ๆ ก็ทำกันได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือยาแก้ปวดประเภทพาราเซตามอลที่มีตั้ง 200 ยี่ห้อ
สำหรับผู้ที่ใช้ยาพร่ำเพรื่อจนติดนั้น ในกรณีผู้ที่ติดประเภทออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอาจจะยุ่งยากสักหน่อย เพราะยาประเภทนี้จะเข้าไปเปลี่ยนเคมีในสมอง หากเลิกแบบหักดิบจะมีอาการที่เรียกว่าถอนยา เหมือนคนติดยาลงแดง จะมีอาการปวดไมเกรนรุนแรง นอนไม่หลับรุนแรง ท้องเสีย ปวดกระดูก ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือพบแพทย์หรือหรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำ เช่นเดียวกับผู้ที่ติดยาสเตียรอยด์ก็เลิกเองปุบปับไม่ได้ เพราะอันตรายต่อร่างกาย ต้องพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเช่นกัน ส่วนผู้ที่ติดยาถูกกฎหมายที่ซื้อขายกันได้ตามปกติ จำพวกยาปวดหัว ยาคลายเครียดบางประเภท พวกนี้ผลข้างเคียงเมื่อเลิกจะไม่เท่าประเภทแรก แต่ก็มีเหมือนกันที่ปวดเมื่อย ปวดกระดูก รู้สึกไม่สบายตัว
ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/
ผู้จัดทำ blog : ครูทองคำ วิรัน์

เงิน 1000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่

เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่
(ภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหา เพียงแสดงภาพครอบครับที่มีพ่อ-แม่)

อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนพ่อและแม่
เดือนละ 1000 บาท เป็นประจำทุกเดือน
ผมสงสัยทำไมต้องให้เงิน
พ่อแม่เดือนละ 1000 บาท? ในเมื่อแม่ก็อยู่บ้าน
หลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว
ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว
วันหนึ่งสบโอกาศผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ๅ ว่า
"อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"
อาจารย์ตอบว่า
"ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 1000 บาท... ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"
ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้แม่ 1000 ตัดได้นี่ครับ...
อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อย
เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบายอาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1000 นี่ ตัดได้ครับ"
อาจารย์บอกว่า
"ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1000 บาทนี่สำคัญที่สุด
เพราะ...เป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"
ผมฟังแล้วสะอึก!
"เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?
อาจารย์บอกต่อ
“หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบานเป็นสุข"
คุณลองนึกดู...คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง?
หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ..ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร..มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน
แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆหน้า
สดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด
ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า
วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1000 บาท แม่ก็ให้พร เเล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"
1000.-บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?
วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 1000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว...สวมสร้อยให้พร้อมให้พร
พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้
เด็กก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน
1000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขราม
ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?
ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่..มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังว่าเงินเดือน 1000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้
วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้
แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ
วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ...
วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?
เห็นไหมเงินเดือน 1000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้
มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1000 บาท นี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?
บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1000 บาท
วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำ
วัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์
แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 20000 บาท บอกเอาไปให้
กำนันปรับปรุงห้องน้ำ
เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1000 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่
ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่จะได้ทำบุญไหม?
พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?
ลุงข้างบ้านตอบ
“ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงิน
เดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของ ลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!
เป็นยังไงบ้างครับ....เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1000 บาท...
"เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ
วันนี้เราได้ให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?
Cr : Forward Line
clubคนรักสุขภาพ
-----------------------------------------------------------
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ 💞Clubคนรักสุขภาพ ได้ที่ลิ้งด้านล่างนะจ๊ะ😙😙😙
จิ้มเบาๆนะจ๊ะ >> http://line.me/ti/p/@clubthehealth
--------------------------------------------------
ภิกษุทั้งหลาย ! ทาน 2 อย่างนี้คือ
1. อามิสทาน
2. ธรรมทาน
ภิกษุทั้งหลาย ! บรรดาทาน 2 อย่างนี้
ธรรมทาน เป็นเลิศ.
จัดทำ blog : ครูทองคำ วิรัตน์