90 ปีแห่งการปกครองระบอบเผด็จการในประเทศไทย
24 มิถุนายน 2475
เป็นวันที่คณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง และ
คณะราษฎร์ เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ วันที่ 24
มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้กระทำการ 2
เรื่อง คือ
1. เปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
2. เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา
อย่างแรกเป็นคุณความดีที่คนไทยจะต้องระลึกถึง
อย่างหลังเป็นความเลวร้ายที่คนไทยสาปแช่งจนถึงปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงคณะราษฎร์
เรามักจะพูดถึงแต่การเปลี่ยนแปลงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
แต่เมื่อคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการเรามักไม่พูดถึง
มีแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชการที่ 7 พระองค์เดียวทรงอธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราษย์เป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น
รัชกาลที่ 7 ทรงสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เพราะพระองค์ทรงมีพระราชดำริมาก่อนแล้วที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น
ในวันที่ 24
มิถุนายน 2475 คณะราษฎร์ได้ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นแทน นำเอาระบบรัฐสภามาใช้
และประกาศฯนโยบายหลักเรียกว่าหลัก 6 ประการ
ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน
และสามวันต่อมาก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตราแรกว่า “ อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น
เป็นของราษฎรทั้งหลาย ” เหล่านี้ทำให้คณะราษฎร์และองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยเหล่านั้น
มีฐานะเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย นั่นคือการเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
ทั้งหมดนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
ด้วยความสนับสนุนช่วยเหลือของรัชกาลที่ 7
ซึ่งทรงรับเป็นพระมหากษัตริย์ตามคำขอร้องของคณะราษฎร์
หลังจากสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นแล้ว
คณะราษฎร์ก็เริ่มเขวออกนอกทาง เริ่มแสดงความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ละทิ้งนโยบายประชาธิปไตยในทางปฏิบัติ
ซึ่งทำให้คณะราษฎร์หมดฐานะของความเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
และในที่สุดยกเลิกหลักประชาธิปไตยที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
โดยเปลี่ยนความว่าอำนาจสูงสุดของประเทศ (อำนาจอธิปไตย ) เป็นของ ปวงชน
มาเป็นอำนาจอธิปไตย มาจาก ปวงชน เพื่อหลอกลวงประชาชนว่า
เมื่อมีการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตย
กระบวนการเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการนี้คณะราษฎร์เริ่มกระทำตั้งแต่ปฏิวัติประชาธิปไตยเสร็จใหม่
ๆ และแสดงออกมาอย่างเป็นทางการโดยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10
ธันวาคม 2475 ซึ่งได้ยกเลิกหลักการปกครองอันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย
โดยเปลี่ยนคำว่าอำนาจอธิปไตย เป็นของ ปวงชน เป็นอำนาจอธิปไตย มาจาก ปวงชน
ฉะนั้นวันที่ 10
ธันวาคม 2475
จึงเป็นวันเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการ ตรงกันข้ามกับวันที่ 24
มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
การที่คณะราษฎร์เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการนี้
รัชกาลที่ 7 ทรงคัดค้านอย่างรุนแรง
ดังตัวอย่างพระราชบันทึกบางตอนซึ่งทรงเสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ พ.ศ. 2477
ดังนี้
“ ข้าพเจ้าของชี้แจงเสียโดยชัดเจนว่า
เมื่อพระยาพหลฯ และคณะผู้ก่อการฯ ขอร้องให้ข้าพเจ้าคงอยู่ครองราชสมบัติ
เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ข้าพเจ้ายินดีรับรอง
ก็เพราะเข้าใจและเชื่อมั่นว่า คณะผู้ก่อการ ต้องการจะสถาปนาการปกครองแบบ “ ประชาธิปไตย
” หรือ Democratic Government ตามแบบอย่างของประเทศอังกฤษ
และประเทศอื่น ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้อำนาจอันจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบรรดาลให้เปลี่ยนแปลงนั้น
เป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้
และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้นโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหน โดยเหตุนี้
เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ขอร้องให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าจึงรับรองทันที โดยไม่มีเหตุขัดข้องอยางใดเลย
ครั้นต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่
ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา
ว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก
ถ้ามิฉะนั้นจะทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน
ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้...ต่อมาข้าพเจ้าได้ยินคำติเตียนหลักการอันนั้นในรัฐธรรมนูญ
(สมาชิกประเภทที่สองเท่ากับประเภทที่หนึ่ง – ผู้เขียน)
และหลักการอันนี้เป็นเหตุให้มีคนไม่พอใจในคณะรัฐบาลเป็นอันมากจนมีการริเริ่มจะล้มรัฐบาลเสียด้วยพละการ
เพื่อแก้ไขหลักการข้อนี้ตั้งแต่ก่อนกระทำพิธีการพระราชทานรัฐธรรมนูญ...(เวลานี้
ส.ว. มีจำนวนถึงสามในสี่ของ ส.ส. หนักกว่าสมัยโน้นเสียอีก – ผู้เขียน)...การปกครองที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เป็นลัทธิเผด็จการทางอ้อม
ๆ ไม่ใช่ Democracy จริง ๆ เลย...เป็นการผิดหลักผิดทางของลัทธิ Democracy
โดยแท้...ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่าข้าพเจ้าจะยอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง
แต่ไม่สมัครที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้ว่าเป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น
” (จากพระราชบันทึกของรัชกาลที่ 7
เพื่อ พ.ศ. 2477 )
และเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคณะราษฎร์ได้
รัชกาลที่ 7 ก็ทรงสละราชสมบัติ
ซึ่งทรงประกาศไว้ตอนหนึ่งว่า “ ข้าพเจ้าไม่สามารถจะยินยอมให้บุคคลหรือคณะใด
ดำเนินการปกครองวิธีนี้ ในนามของข้าพเจ้า ”
สมเด็จพระปกเกล้าทรงสนับสนุนช่วยเหลือคณะราษฎร์
เมื่อคณะราษฎร์ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย
แต่เมื่อคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการและพระองค์ไม่สามารถจะทัดทาน
จึงทรงสละราชสมบัติ
คณะราษฎร์เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
10 ธันวาคม 2475
และเปลี่ยนเป็นระบอบเผด็จการสมบูรณ์แบบเมื่อ พลตรี หลวงพิบูลสงคราม
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. 2481 โดยใช้รูปของเผด็จการรัฐสภา ครั้นถึง
พ.ศ. 2490 ก็เปลี่ยนเป็นระบอบเผด็จการรัฐประหาร
และตั้งแต่นั้นมาระบอบเผด็จการของประเทศไทยก็สลับกันระหว่างระบอบเผด็จการรัฐประหารกับระบอบเผด็จการรัฐสภามาจนถึงปัจจุบัน
ไม่เคยกลับไปเป็นระบอบประชาธิปไตยอีกเลย กล่าวจากแง่นี้ปัจจุบันนี้
ตัวแทนประชาชนไม่มีเลยมีแต่แต่งตั้ลล้วนๆ หนักกว่าสมัยรัชกาลที่ 7
ทรงคัดค้านถึงกับต้องสละราชสมบัติ
ซึ่งมีจำนวนสมาชิกประเภทที่สองเท่ากับประเภทที่หนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อคณะราษฎร์เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการแล้วก็ยิ่งโหมการโฆษณาว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
จนถึงกับมีการสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสถานีวิทยุท่องรัฐธรรมนูญทุกวันนั้น
แบบเดียวกับการปฏิวัติประชาธิปไตยของจีน ซึ่งหลังจากพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งนำโดย
ดร.ยัดเซ็นทำเสร็จแล้วไม่นาน นายพลยวนชีไขและจอมพลเจียงไคเช็ค
ในนามของพรรคก๊กมินตั๋งก็เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการเสียโดยการโฆษณาเป็นการใหญ่ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยตามหลักคำสอนของซุนยัดเซ็นและไม่เคยกลับไปเป็นระบอบประชาธิปไตยอีกเลย
จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนโค่นระบอบเผด็จการนั้นลงเสียเมื่อ พ.ศ. 2492
ตั้งแต่วันที่ 24
มิถุนายน 2475 เมืองไทยมีระบอบประชาธิปไตยอยู่เพียงช่วงสั้นๆ
จากนั้นจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 90
ปีแล้วเป็นระบอบเผด็จการมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
(ข้อมูลจากแฟ้มเอกสารของท่านอาจารย์ประเสริฐ
ทรัพย์สุนทร)
edit:thongkrm_virut@yahoo.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น