วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ยุทธ์นอคคิโอ

ยุทธ์นอคคิโอ
  




เช่นเดียวกับ หัวหน้าคณะรัฐประหารและนายกรัฐมนตรีประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า พินอคคิโอไปเรียบร้อยแล้ว หรือบางสื่อใช้คำว่า “โฆษะบุรุษ”
[1] หรือ “นักโกหก” เพราะตลอด 4-5 ปี ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นี้ ได้ให้สัญญากับประชาชนไว้มากมาย แต่ทำไม่ได้สักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเลือกตั้ง ที่มีการเลื่อนมาแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง ตามคำสัญญาที่พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัญญากับประชาคมโลก ทำให้ไทยตกอยู่ในสภาวะเผด็จการตั้งแต่นั้นมา


 กลุ่มคนอยากเลือกตั้งกับยุทธ์นอคคิโอ

 

กระทั่ง กลุ่มคนอยากเลือกตั้งได้ทำรูปหน้าพินอคคิโอล้อ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าทำตัวไม่อยากเลือกตั้ง เป็นนักโกหกไม่อายสังคมและประชาคมโลกที่ตนเคยให้สัญญาไว้


ภาพพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ขวาบน

 

ล่าสุต พล.อ.ประยุทธ์ ดังใหญ่ ถึงกับลงปกนิตยสาร The World in 2019 ของสำนักข่าว The Economist แสดงถึง “ยุทธ์นอคคิโอ” โดยเฉพาะสำนักข่าวนี้มีผู้อ่านจากทั่วโลก และคงไม่แปลกใจที่เขาจะมองไทยอย่างไรถึงสภาวะเผด็จการ และความไร้วุฒิภาวะของผู้นำไทย

เข้าถึงนิตยสารได้ที่ https://shop.economist.com/products/the-world-in-2019?redirect=US







[1]https://www.bbc.com/thai/thailand-42770720

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

คดีฆ่าหั่นศพทหารสหรัฐฯ สุดพิสดาร จนร่ำลือกันว่าเป็นฝีมือของ สิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น


คดีฆ่าหั่นศพทหารสหรัฐฯ สุดพิสดาร จนร่ำลือกันว่าเป็นฝีมือของ สิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น

ปริศนาฆาตกรรม! คดีฆ่าหั่นศพทหารสหรัฐฯ สุดพิสดาร จนร่ำลือกันว่าเป็นฝีมือของ ‘สิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น’
คดีการตายอย่างปริศนาของทหารอากาศรายหนึ่งที่กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ถูกโยงกับมนุษย์ต่างดาวและยานยูเอฟโอ จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่รอดมาได้ แต่กลับถูกมองว่าเป็นคนลงมือฆ่า เรื่องราวเป็นอย่างไรมาดูกัน

ย้อนกลับไปในปี 1956 ณ ฐานทัพอากาศโฮโลแมน ในรัฐนิวเม็กซิโก หลังเสร็จสิ้นการทดสอบอาวุธมิสไซล์กลางทะเลทราย นายทหารสองรายคือ จ่าอากาศเอกโจนาธาน โลวเวทท์ และวิลเลี่ยม คันนิ่งแฮม ได้รับมอบหมายให้ไปเก็บซากของมิสไซล์ในสนามทดลองอาวุธ White Sand Missile Range

จากคำบอกเล่าของคันนิ่งแฮม ในระหว่างที่ทั้งสองแยกกันเดินหาซากของมิสไซล์ ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของจ่าโลเวทท์ดังมาจากบนเนินทราย จึงรีบวิ่งไปดูเพราะคิดว่าอาจถูกงูกัด แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นเรื่องที่หลายคนไม่เชื่อ เขาเห็นจานบินขนาดใหญ่ลอยอยู่บนอากาศกำลังดึงร่างของจ่าโลเวทท์ขึ้นไปบนอากาศ 
โดยได้อธิบายถึงสิ่งที่คล้ายงูกำลังรัดขาของจ่าโลเวทท์ขึ้นไปบนยาน ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว คันนิ่งแฮมจึงรีบขับรถจี๊ปกลับมายังฐานเพื่อรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 
ทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินออกตามหาจ่าโลเวทท์กันอย่างเร่งด่วน

จนล่วงเลยมาวันที่ 3 จึงพบกับศพของจ่าโลเวทท์ ที่อยู่ไกลจากจุดที่คันนิ่งแฮมระบุไว้ถึง 10 ไมล์ (ราว 16 กิโลเมตร) สิ่งที่พบสร้างความแปลกใจอย่างมากเพราะศพของจ่าโลเวทท์อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายซูบผอมราวกับถูกดูดเลือดออกจากร่างกาย ลิ้นถูกตัด ดวงตาถูกควักออกมา รวมถึงอวัยวะเพศก็ถูกตัดออกไปด้วย 

ต่อมาจึงได้มีการชันสูตรพลิกศพซึ่งพบว่า การถูกตัดอวัยวะต่างๆ ไม่มีการตกเลือดภายในร่างกายเลย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก

อย่างไรก็ตามก็มีข้อสันนิษฐาน เรื่องร่องรอยบาดแผลบนศพเนื่องจากพบว่ามีการถูกแทะโดยนกบางชนิด จึงอาจเป็นไปได้ว่าร่างกายถูกสัตว์บางชนิดกินหลังเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่ร่างกายของเขามีลักษณะเหมือถูกสูบเลือดออกจากร่างกายอาจเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดของทะเลทรายแห่งนี้ที่โดยศพต้องตากแดดนานถึง 3 วัน 
จึงทำให้ศพของจ่าโลเวทท์มีลักษณะที่ผิดปกติไปนั่นเอง
ต่อมาพันตรีคันนิ่งแฮมถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลงมือสังหารจ่าโลเวทท์ แต่จากการตรวจสอบก็ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ได้ว่าเขาเป็นคนทำได้ ส่งผลให้คดีการตายในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องปริศนาที่ถูกโยงกับมนุษย์ต่างดาวและ
ยานยูเอฟโอบ่อยที่สุดเรื่องหนึ่ง

ความลับใต้ดินเมือง เทสซาโลนีกิแห่งกรีซ

ความลับใต้ดินเมือง เทสซาโลนีกิแห่งกรีซ

ความลับใต้ดินเมือง เทสซาโลนีกิแห่งกรีซ
เมืองเทสซาโลนีกินับเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าสำคัญมานานหลายร้อยปีของประเทศกรีซ ตอนนี้ได้กลายเป็นแหล่งโบราณคดีที่น่าตื่นเต้น หลังจากคนงานขุดสร้างทางรถไฟใต้ดินได้ค้นพบเมืองโบราณจมอยู่ข้างใต้ 

โดยสำนักงานโบราณวัตถุเทสซาโลนีกิเผยว่าเมืองเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 ช่วงอารยธรรมไบเซนไทน์ และน่าจะเป็นยุคสมัยของจักรพรรดิจัสตีเนียน
ภายในเมืองโบราณยังมีสิ่งปลูกสร้าง
คล้ายคฤหาสน์ที่ระบุว่าสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 4 โดยพบพื้นห้องอาบน้ำร้อนในคฤหาสน์ที่มีแหวนทองคำตกอยู่
สันนิษฐานว่าแหวนอาจเป็นของผู้หญิงที่ลืมทิ้งไว้ตอนไปอาบน้ำในยุคนั้น 

นอกจากนี้ ยังมีรายการวัตถุโบราณมากกว่า 300,000 รายการที่ขุดพบตามเส้นทางการสร้างรถไฟใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นหรีดทองและอัญมณีที่อยู่บนหลุมศพกว่า 5,000 หลุม, เหรียญโบราณราวๆ 50,000 เหรียญ, ลานหินอ่อน 2 แห่ง, อ่างน้ำพุขนาด 15 เมตร และโบสถ์คริสเตียนในยุคแรกๆ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การค้นพบโบราณสถานและขุมทรัพย์ครั้งนี้ ดูจะเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากการขุดสร้างทางรถไฟใต้ดินอันเป็นโครงการระยะเวลา 15 ปี จริงๆแล้วควรเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 แต่ก็ล่าช้ามาถึงปัจจุบัน ซึ่งกำหนดว่าจะต้องเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2563 แต่การรักษาเมืองโบราณใต้ดินก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน 
นักโบราณคดีเผยว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นสิ่งที่เติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไปของเมืองเทสซาโลนีกิ.

เจ้าของบ้านตะลึงฝนตกหนักชะดินสวนหลังบ้าน พบสุสานโบราณอายุ 2,000 ปี


เจ้าของบ้านตะลึงฝนตกหนักชะดินสวนหลังบ้าน พบสุสานโบราณอายุ 2,000 ปี

เจ้าของบ้านตะลึงงัน! ฝนตกหนักชะดินสวนหลังบ้าน – สุสานโบราณอายุ 2,000 ปีโผล่

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. เอพีรายงานเรื่องน่าตื่นเต้นของหนุ่มชาวปาเลสไตน์เจ้าของบ้านที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สำคัญอย่างไม่คาดคิดมาก่อน หลังจากที่เกิดฝนตกชะล้างหน้าดินบริเวณหลังบ้าน ปรากฏให้เห็นซากสุสานโบราณย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโรมัน หรือประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมา
เหตุเกิดที่บ้านของนายอับเดลคาริม อัล-กาฟาร์นา ในเขตฉนวนกาซา หลังจากฝนตกหนัก เมื่อวันที่ 26 ม.ค.  จนชะผิวดินสวนหลังบ้านเป็นหลุมลึก เมื่อลงไปสำรวจดู พบว่าเป็นพื้นที่คล้ายอุโมงค์ 9 แห่งโดยแต่ละแห่งมีกระดูกมนุษย์และซากเครื่องปั้นดินเผาอยู่
ขณะนี้มีนักโบราณคดีหลายคนเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวแล้วเพื่อหาข้อมูลและ
ระบุปีของความเก่าแก่ที่แน่ชัดของสุสานใต้ดินแห่งนี้

นายอัล-กาฟาร์นากล่าว ว่าตนพบสุสานโดยบังเอิญหลังจากฝนตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน้ำฝนได้ชะล้างหน้าดินจนทลาย เผยให้เห็นบางส่วนของสุสานใต้ดิน
ทั้งนี้พื้นที่ฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ที่อยู่บริเวณริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และติดกับประเทศอียิปต์เคยเป็นพื้นที่เดินทางระหว่างอาณาจักรโบราณอย่างอาณาจักรอียิปต์ รวมไปถึงอาณาจักรโรมันตะวันออก
แต่พื้นที่โบราณสถานหลายแห่งในฉนวนกาซาต่างสุ่มเสี่ยงที่จะถูกทำลายเนื่องจากสงคราม และการขาดการดูแลจากทางการ

ข้อมูล : 

เจ้าหน้าที่ก่อสร้างรถไฟใต้ดินในกรุงโรมพบบ้านพักหรูอายุกว่า 2,000 ปี


เจ้าหน้าที่ก่อสร้างรถไฟใต้ดินในกรุงโรมพบบ้านพักหรูอายุกว่า 2,000 ปี

เจ้าหน้าที่ก่อสร้างรถไฟใต้ดินในกรุงโรมพบบ้านพักหรูอายุกว่า 2,000 ปี
นักโบราณคดีที่ทำงานก่อสร้างรถไฟใต้ดินสาย C ในกรุงโรม ได้พบกับซากของบ้านพักสุดหรูของทหารโรมันในระหว่างการขุดเจาะพื้นที่ใต้ดิน

ทางด้าน  Francesco Prosperetti เจ้าหน้าที่ของ National Roman Museum เผยว่าถือเป็นการค้นพบที่ทางทางโบราณคดีอันน่าอัศจรรย์
บ้านหลังนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 40 ฟุต หรือราว 12 เมตร ประกอบไปด้วยห้องอย่างน้อย 14 ห้อง  พื้นถูกปูด้วยหินอ่อนและกระเบื้องโมเสคสวยงาม ตกแต่งด้วยภาพวาดผนัง คาดว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2
ตอนนี้เจ้าหน้าที่เร่งย้ายชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกจากพื้นที่ไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อให้การก่อสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
National Roman Museum
ที่มา businessinsider

Chand Baori บ่อน้ำขั้นบันไดในประเทศอินเดีย


Chand Baori บ่อน้ำขั้นบันไดในประเทศอินเดีย

Chand Baori บ่อน้ำขั้นบันไดในประเทศอินเดีย
Chand Baori คือบ่อน้ำขั้นบันไดที่ตั้งอยู่ในรัฐ Rajasthan ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ถูกขุดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยกษัตริย์ Chanda เดิมทีสถานที่แห่งนี้มีความร่ำรวยเป็นอย่างมาก จากการเป็นเส้นทางผ่านไปยังตะวันออกกลาง เมื่อมีผู้คนต่างอาณาจักรผ่านไปมา การค้าก็ได้เริ่มต้นขึ้นจนร่ำรวยพอที่จะสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งปราสาท ราชวัง ป้อมปราการต่างๆ

ด้วยเป็นประเทศเมืองร้อน ภูมิประเทศเต็มไปด้วยทะเลทราย จึงแห้งแล้งมาก ฝนตกปีละไม่กี่ครั้ง เมื่อกแล้วก็ซึมผ่านทรายไปอย่างรวดเร็ว ปัญหาการขาดแคลนน้ำของชาวบ้านนี้ทำให้มหาราชาหาวิธีสร้างบ่อน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากน้ำมีความสำคัญในชีวิตประจำวัน การผ่อนคลาย การใช้ประกอบพิธีกรรม จนพูดได้ว่า หากขาดน้ำไปจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้
และถ้าแค่เพียงกักเก็บน้ำไว้ แต่ใช้งานไม่สะดวกมันก็ไร้ประโยชน์ มหาราชาจึงคิดหาวิธีเพื่อให้ชาวบ้านใช้น้ำได้ในวันน้ำแล้งติดก้นบ่อ จึงมีคำสั่งสร้างตัวบ่อซึ่งมีความลึกกว่า 33 เมตร ตัวบันไดแบ่งเป็น 13 ชั้น จำนวนขั้นกว่า 3,500  ทำให้ประชาชนสามารถเดินลงไปตักน้ำได้ตามน้ำระดับต่างๆอย่างง่ายดาย ด้วยความลึกของบ่อน้ำแห่งนี้ทำให้มันถูกจัดเป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ลึกที่สุดในประเทศอินเดีย
Chand Baori

ถ้ำลึกลับ ที่ไม่เจอแสงแดดกว่า 5 ล้านปี

ถ้ำลึกลับ ที่ไม่เจอแสงแดดกว่า 5 ล้านปี

ช็อกโลก !! นี่คือ "ถ้ำลึกลับ" ที่ไม่เจอแสงแดดกว่า 5 ล้านปี !! แทบไม่อยากเชื่อลงไปจะเจอ
"สิ่งมีชีวิตนี้" ซ่อนตัวอยู่ ?
เรื่องราวสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจกัน โดยในวันนี้เราจะนำ ถ้ำลึกลับ สถานที่น่าเหลือเชื่อของโลก เนื่องจากถ้ำแห่งนี้ไม่เจอแสงแดดถึง 5.5 ล้านปี 

ถ้ำแห่งนี้ชื่อ ถ้ำโมวิล ถ้ำแห่งนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโรมาเนีย ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่มีบรรยากาศแตกต่างจากพื้นผิวโลก เพราะหากเดินเข้ามาจะพบว่าภายในถ้ำเป็นทะเลสาปที่เต็มไปด้วยกำมะถัน

อากาศภายในถ้ำไม่เหมาะกับคนเพราะเป็นก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์  และระดับปนเปื้อนคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าพื้นผิวถึง 100 เท่า ภายในถ้ำแห่งนี้ยังพบสิ่งมีชีวิตที่น่าประหลาดใจคือ สิ่งมีชีวิตกว่า 33 ชนิด พวกมันไม่เคยออกมาพบแสงแดดและปรับตัวใช้ชีวิตภายในนั้น

😃หน้าตาสิ่งมีชีวิตที่พบ

😀ชมคลิป

ขอบคุณที่มา :  listverse.com

สัตว์ปริศนาแห่ง Son Doongถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเวียดนาม

สัตว์ปริศนาแห่ง Son Doongถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเวียดนาม

สัตว์ปริศนาแห่ง ‘Son Doong’ ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเวียดนาม กับตำนานที่เล่ากันว่าในนั้นมีอสุรกายอาศัยอยู่
ในปี 1991 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Phong Nha-Ke Bang เขต Bo Trach จังหวัด Quang Binh ประเทศเวียดนาม ได้ค้นพบถ้ำขนาดใหญ่ที่แทรกตัวอยู่ภายใต้ป่าทึบมาเป็นเวลากว่ายาวนาน ซึ่งหลังจากที่ค้นพบมันก็ถูกตั้งชื่อให้ว่า Son Doong ซึ่งแปลว่า “หุบเขาแม่น้ำ”
โดยถ้ำแห่งนี้หลังจากที่มีการสำรวจอย่างละเอียดในปี 2009 ก็พบว่ามันเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเกิดขึ้นจากการกัดเซาะของกระแสน้ำที่ไหลอยู่ภายใต้ภูเขา สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับถ้ำแห่งนี้ก็คือ มันเป็นถ้ำที่มีระบบนิเวศเป็นของตัวเอง ทั้งผืนป่าและแม่น้ำไม่ต่างจากระบบนิเวศภายนอก ซึ่งความใหญ่โตของมันนั้นเพียงแค่วัดโถงใหญ่ที่สุดของถ้ำก็มีขนาดยาวกว่า 4 กม. กว้าง 200 เมตร และสูงถึง 150 เมตร (พอๆ กับตึก 30 ชั้น)

ต่อมาถ้ำแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของอุทยาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวพากันไปเยี่ยมชมความใหญ่โตของมันจนมีเสียงร่ำลือถึงปรากฏการณ์แปลกๆ และสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในสมัยช่วงที่มีการค้นพบแรกๆ ถ้ำแห่งนี้จะถือว่าเป็นที่ต้องห้ามของบรรดานายพรานและนักเก็บของป่าทั้งหลายว่าอย่าไปเข้าใกล้เพราะมี “อสุรกายลึกลับ” อาศัยอยู่ภายในถ้ำ โดยผู้ที่เฉียดๆ ไปแถวนั้นมักจะได้ยินเสียงปริศนาที่เหมือนกับตัวอะไรสักอย่างคำรามออกมาจากภายในถ้ำ
ดังกึกก้องไปทั่ว
มีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานจากชาวบ้านว่าย้อนกลับไปในสมัยโบราณนั้น บริเวณแถบนี้จะเป็นที่อาศัยของชนเผ่าลึกลับที่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ผสมกับสัตว์เลื้อยคลานใช้ชีวิตอยู่ภายในถ้ำคอยดักจับและโจมตีผู้คนที่หลงเข้ามาแล้วนำไปเป็นอาหาร หากเป็นผู้หญิงก็จะถูกจับขังไว้เป็นของเล่น วันดีคืนดีพวกมันก็จะรวมกลุ่มออกล่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อจับกลับมา จนชาวบ้านต้องทำพิธีบูชายัญสละชีวิตคนในทุกๆ ปีโดยการนำผู้เสียสละมัดมือมัดเท้าแล้วไปวางไว้หน้าถ้ำ

แน่นอนว่าเรื่องเล่าทั้งหมดนั้นเพียงแค่ตำนานที่ถูกถ่ายทอดกันแบบปากต่อปากมาเป็นระยะเวลานับร้อยปี แต่ทว่าในปี 2015 ได้มีผู้เข้าไปสำรวจในถ้ำแห่งนี้และได้ถ่ายวีดีโอออกมาโพสต์ลงใน Youtube โดยอธิบายภาพว่าสิ่งที่พวกเขาถ่ายมาได้นั้นคือ “อสุรกายปริศนา” ที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ผสมกับสัตว์เลื้อยคลาน และยังอธิบายอีกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตานั้นมันมีขนาดสูงกว่า 2 เมตร และมีหางยาว 7 ฟุต
ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นคืออะไร 
แต่ถ้าไปถามชาวบ้านก็คงจะได้คำตอบว่ามันคืออสุรกายในตำนานที่พวกเขาได้ยินมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างแน่นอน หรือว่าเรื่องราวที่พวกเขาเล่าต่อกันมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนที่จะเชื่อ

ลองดูคลิปที่ว่าแล้วค่อยตัดสินใจ

กองหินปริศนาอนุสรณ์สถานประหลาดแห่งป่าในลัตเวีย


กองหินปริศนาอนุสรณ์สถานประหลาดแห่งป่าในลัตเวีย

กองหินปริศนา! อนุสรณ์สถานประหลาดแห่งป่าในลัตเวีย ที่ว่ากันว่านี่อาจเป็นประตูโลกแห่ง
พ่อมดและแม่มด
ป่า Pokaini ในประเทศลัตเวีย ประเทศเล็กๆ ในแถบยุโรปเหนือเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของป่าลึกลับที่มีสัญลักษณ์ประหลาดๆ ตั้งอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก โดยถ้าใครได้เข้าไปเดินชมภายในป่านั้นจะต้องสะดุดตากับกองหินขนาดย่อมๆ ที่กระจัดกระจายไปทั่วผืนป่า ซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากแต่ว่ามันถูกสร้างมาโดยฝีมือของ “อะไรสักอย่าง”
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกป่า Pokaini เชื่อกันว่ากองหินที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมอยู่ในป่า Pokaini นับ 30 กองนั้นเป็นตำนานเรื่องของการไถ่บาปของเหล่าแม่มดพ่อมด ที่ได้กระทำบาปอันหนักหนา จึงใช้เวทมนตร์เสกหินขึ้นมาและนำมาวางไว้ทีละก้อนหลังจากได้ทำบาปไป ดังนั้นชาวบ้านจึงมีความเชื่อก้อนหินเหล่านี้จะมีพลังแฝงอยู่ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ชาวบ้านเอื้อมมือไปสัมผัสกับก้อนหินนั้น ร่างกายบางส่วนของพวกเขาจะรู้สึกร้อนขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกลับไปถึงบ้านโรคที่เป็นอยู่ก็จะหายไปหรือทุเลาลง

เหตุที่กองหินในป่าแห่งนี้นั้นดูแปลกประหลาดก็เพราะพื้นที่บริเวณป่านั้นไม่มีแหล่งของหินเลยแม้แต่น้อย ซึ่งการที่มีหินเป็นจำนวนมากมาตั้งเป็นหย่อมในป่ามันจึงดูเป็นเรื่องแปลกๆ ซึ่งชาวบ้านนั้นก็ยังเชื่อกันอีกว่า หินที่วางอยู่ในป่านั้นไม่ควรจะมีผู้ใดนำไปครอบครองเพราะมันจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้ ซึ่งก็เหมือนกับบ้านเราเป๊ะๆ ที่ว่ามีผู้นำมากลับไปเป็นที่ระลึกแต่ไม่นานก็ต้องกลับเอามาวางไว้ที่เดิมเพราะชีวิตพบกับเรื่องไม่ดีแบบผิดปกติ
Pokaini

นอกจากนี้ป่าแห่งนี้ยังมีต้นสนคู่เก่าแก่ขนาดใหญ่ที่มีความแปลกอยู่ตรงที่รูปร่างของมันที่บิดทวนเข็มนาฬิกา โดยชาวบ้านก็เชื่อกันอีกว่ามันเป็นประตูไปสู่โลกต่างมิติของพ่อมดแม่มดที่ใช้เดินทางข้ามระหว่างสองโลก โดยวันดีคืนดีมักจะมีผู้เห็นแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมาบริเวณต้นสนคู่และหายไป

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เสียงฮัมแห่งตาออส

เสียงฮัมแห่งตาออส

เสียงฮัมแห่งตาออส’ เสียงปริศนากลางดึกที่เบาจนคนธรรมดาแทบไม่ได้ยิน
และยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เรื่องแปลกที่คนบางคนได้ยินเสียงเหล่านี้ดังจนทนไม่ไหว แต่คนจำนวนมากกลับไม่ได้ยิน เรื่องราวเสียงจากเมืองตาออส (Taos) เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของนิวเม็กซิโก ในสหรัฐฯ ที่ไม่ได้แตกต่างจากเมืองที่เงียบสงบและห่างจากความวุ่นวาย แต่หากลองตั้งใจฟังเสียงให้ดีๆ ในที่แห่งนี้คุณอาจได้ยินเสียงลึกลับที่ไม่มีใครได้ยินก็เป็นได้

เสียงฮัมแห่งทาออส (Taos Hum) เป็นที่รู้จักของชาวเมืองนี้และผู้ที่เคยแวะเวียนมาในที่แห่งนี้ ว่าเป็นเสียงที่คนบางกลุ่มได้ยินจากสถานที่ใดสักแห่งในเมืองแห่งนี้แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงของอะไรกันแน่? โดยเริ่มมีการพูดถึงเสียงฮัมนี้ครั้งแรกในปี 1993 หลังมีชาวบ้านร้องเรียนว่ามีทำเสียงดังกล่าวในกลางดึกทำให้พวกเขานอนไม่หลับ หลังตรวจสอบก็ไม่พบว่ามีการก่อสร้าง เสียงรถวิ่ง ที่ก่อให้เกิดเสียงได้เลย จนกระทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบพบว่า มีผู้คนร้องเรียนเสียงฮัมกลางดึกที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนน้อย และพบว่าเสียงนี้ “เป็นความถี่ต่ำ” ในระดับ 35-80 เฮิร์ตซ์ เรียกได้ว่าต้องเป็นคนที่มีความไวต่อความถี่ต่ำมากๆ เท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง ทำให้เกิดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ขึ้นตามมา เช่น เสียงนี้อาจเกิดขึ้นจากเสียงของผีร้าย บางก็ว่าเป็นเสียงที่เกิดจากการทดลองลับๆ ของกองทัพสหรัฐฯ หรือแม้แต่เสียงฮัมนี้อาจมาจากยานบินยูเอฟโอที่บินผ่านเหนือบริเวณบ้านของประชาชน
อย่างไรก็ตาม เสียงฮัมกลางดึกไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่เมืองตาออสเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทั่วโลกก็มีการรายงานยินเสียงโทนต่ำลักษณะนี้เกิดขึ้นอยู่ด้วย แต่ก็พบได้ไม่มาก นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเผยถึงเสียงฮัมนี้ว่า สามารถแบ่งคนได้ยินออกเป็นสองกลุ่มคือ ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บทางหู หรือ มีภาวะหูอื้อ ทำให้เกิดเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวเพียงคนเดียว อีกกลุ่มคือผู้ที่มีความไวต่อความถี่ต่ำ
Taos Hum
ส่วนต้นกำเนิดของเสียงนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แม้นักวิทย์บางรายจะออกมาพูดถึงการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกบริเวณมหาสมุทรที่ก่อให้เกิดเสียงโทนต่ำขึ้นจนคนที่มีคาวมรับรู้ต่อความถี่ต่ำได้ยิน แต่เสียงที่เกิดขึ้นเมืองแห่งนีก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้มาจนทุกวันนี้