วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

เชือด เชเชน: Part III The Immoral Morals

เชือด เชเชน: Part III The Immoral Morals 

                
หนังสือหลายเรื่องกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่าง พระเอกซึ่งเป็นผู้กล้า ...กับจอมมารผู้ชั่วร้าย...



เรื่องราวเหล่านี้ถ้าหากพลอตไม่ซับซ้อนมาก จอมมารก็อาจไม่ค่อยมีหลักการ แต่เป็นคนอารมณ์ดี ชอบหัวเราะ “วะฮ่าฮ่าฮ่า กูอยากยึดครองโลก กูก็ไม่รู้หรอกว่ายึดไปทำไม พลอตมันเขียนแบบนี้!”



แต่หากพลอตซับซ้อนหน่อย ก็จะมีการให้เหตุผลกับจอมมารมากขึ้น

“...เราเป็นจอมมารเพื่ออะไรบางอย่าง...”



ลึกลงไปหลายครั้งเหตุผลนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เช่น ต้องการให้บ้านเมืองเจริญ ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองอยู่รอด หรือแม้แต่ต้องการสันติภาพอันถาวร... หลายครั้งเป้าหมายปลายทางไม่ได้ต่างจากพระเอก



...สิ่งที่แตกต่างกันคือวิธีการ...

เช่น หากพระเอกเดินไปพบเด็กกำลังจมน้ำ และหมู่บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้พร้อมกัน พระเอกต้องตัดสินใจว่าจะช่วยใครก่อน

ถ้าพระเอกนั้นมีความสามารถจริง เขาจะไม่ยอมละทิ้งธรรมะเล็กเพื่อธรรมะใหญ่ เขาจะรีบว่ายน้ำไปช่วยเด็ก แล้วรีบปีนกลับขึ้นไปช่วยดับไฟที่หมู่บ้านจนสำเร็จ หากทำได้เช่นนี้จึงนับเป็นฮีโร่



แต่ถ้าเป็นจอมมาร เขาจะไม่ลังเลที่จะเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ เขาจะวิ่งไปช่วยดับไฟที่หมู่บ้านทันที และเผลอๆ อาจจะยิงเด็กคนนั้นตาย เพื่อไม่ให้ผู้คนสับสน



จอมมารมักเห่อเหิมในอำนาจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาโดยไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น พระเอกจะมองว่าจอมมารโหดร้าย จอมมารจะมองว่าพระเอกไร้เดียงสา ไม่มีประสิทธิภาพ...



หากให้ผู้คนตัดสิน ใครๆ ก็ต้องบอกว่าพระเอกนั้นดีกว่าจอมมาร...

แต่ในบางสถานการณ์ จอมมารก็จัดการปัญหาบางอย่างได้ดีกว่าพระเอก...



โลกที่เราอาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่โลกที่มีธรรมะกำลังต่อสู้กับความชั่วร้าย...



แต่เป็นโลกที่ “ธรรมะ” อย่างหนึ่ง กำลังต่อสู้กับ “ธรรมะ” อีกอย่างหนึ่ง



ในบทนี้ท่านจะได้เห็นธรรมะของผู้ที่อ้างศาสนา



ท่านจะได้เห็นธรรมะของผู้ที่อ้างพวกพ้อง



ท่านจะได้เห็นธรรมะของผู้ที่อ้างประเทศ



ท่านจะได้เห็นธรรมะของผู้ที่อ้างเชื้อชาติ



ในเรื่องนี้ท่านจะได้เห็นธรรมะทั้งหลายต่อสู้ประหัตประหารกัน



ท่านจะได้เห็นว่าธรรมะผลักดันให้ธรรมะอื่นๆที่แตกต่างจากตนกลายเป็นความชั่วร้ายฝ่ายมาร



ท่านจะได้เห็นชัยชนะ และความพ่ายแพ้



และอาจบางที...

เรื่องราวเหล่านี้จะทำให้ท่านเห็น “เงา” ของตัวท่านเองที่ทอดแผ่ออกไป ...ชัดเจนมากขึ้น...



:::  :::  :::



อิสลามหัวรุนแรง

ก่อนจะเล่าเรื่องเชเชนต่อไป ผมขอเกริ่นถึงความเป็นมาของกลุ่มอำนาจใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเชชเนียเสียก่อน

ในตอนที่แล้ว เราได้มีการเอ่ยถึงพวกเติร์ก ซึ่งอพยพจากนอกด่านกำแพงเมืองจีนมายังตะวันออกกลาง พวกเติร์กนี้เชี่ยวชาญการรบ บุกตีคาบสมุทรอาระเบีย แอฟริกาเหนือ จนถึงยุโรปตะวันออก ไม่มีใครต้านทานได้ สามารถตั้งตัวเป็นอาณาจักรออตโตมันซึ่งมีสถานะเป็นมหาอำนาจของโลกอยู่หลายร้อยปี ต่อมาพวกเขารับศาสนาอิสลามมานับถือ และกลายเป็นตัวแทนหลักของประชาคมอิสลามสุหนี่

อาณาจักรออตโตมัน (ภายหลังกลายเป็นประเทศตุรกี) ยิ่งเจริญก็ยิ่งเคร่งศาสนาน้อยลง กษัตริย์และคนรวยเปิดฮาเร็มใหญ่ ฟุ่มเฟีอยเสพสุขไม่สิ้น เกิดลัทธิแปลกๆ ปะปนเวทมนตร์คาถา ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งชาวเชเชนก็เคยเข้าสวามิภักดิ์ต่อพวกเติร์ก แต่ไม่ได้รับความสนใจ จนถูกรัสเซียล้างโคตรตามที่ท่านได้อ่านในตอนแรก


ฮาเร็ม

ราวสามร้อยปีก่อน ขณะที่อาณาจักรออตโตมันกำลังเรืองอำนาจ ได้มีชายอาหรับคนหนึ่งชื่อ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ หรือเราจะเรียกสั้นๆ ว่าเชคมุฮัมมัดมองว่าพวกเติร์กมาทำให้ศาสนาอิสลามเสื่อมทราม จึงประกาศลัทธิใหม่เน้นการหันกลับไปหาแนวทางอิสลามบริสุทธิ์ของบรรพชน ไม่ยอมรับสิ่งใดๆ ที่เขาเห็นว่าอวดอุตริ เช่น เวทมนตร์คาถา การบูชาบุคคล หรือผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นระบำหน้าท้องอะไรอย่างนี้ผิดผีมาก ต้องกำจัดให้สิ้น

เชคมุฮัมมัดเจรจากับอิหม่าม มุฮัมมัด บิน สะอู๊ด แห่งเมืองดิริยา (ต่อมาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดริยาด) เขาสามารถโน้มน้าวให้มุฮัมมัด บิน สะอู๊ดนำพากองกำลังเมืองดิริยาเป็นตัวแทนหลักในการเผยแผ่ลัทธิ

กลุ่มลัทธิของเชคมุฮัมมัดนี้นับวันจะก่อตัวแข็งแกร่งขึ้นด้วยแนวคิดสองประการ หนึ่งคือการปลดแอกชาวอาหรับจากพวกเติร์ก สองคือสร้างแนวทางอิสลามอันบริสุทธิ์ ทำลายพวกนอกรีต คนภายนอกเรียกกันว่าพวกเขาว่าพวก “วะฮาบีย์” เป็นการล้อชื่อพ่อของเชคมุฮัมมัด พวกเขามักจะเรียกตัวเองว่า “สะลาฟีย์” หรือกลุ่มแนวทางดั้งเดิม

เมื่อกองทัพของเชคมุฮัมมัดตีได้เมืองเมกกะและเมดินา ก็เข้าทำลายมัสยิด สุสาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลามมากมาย เหตุผลคืออิสลามไม่อนุญาตให้มีการบูชาอะไรเว้นแต่พระผู้เป็นเจ้า การตั้งมัสยิด หรือสุสานอะไรที่เป็นเครื่องระลึกของคนๆ นั้น จึงเป็นความเสี่ยงให้เกิดการสักการะบุคคลขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงก็ทำลายไปเสียเลย

และเมื่อพูดถึง “คน” พระศาสดามุฮัมมัดและญาติมิตรก็เป็นเพียง “คน” เหมือนกัน ดังนั้นสุสาน บ้านเรือน มัสยิดของพระศาสดามุฮัมมัด และบุคคลสำคัญของศาสนาอิสลามในยุคเริ่มแรกจึงไม่ได้รับการละเว้น


เมกกะก่อนยุควะฮาบีย์ ปัจจุบันโบราณสถานเหล่านี้ไม่เหลือแล้ว

ก่อนหน้านี้พวกออตโตมันเคยทำนุบำรุงสถานที่สำคัญของศาสนาเป็นอย่างดี พอเห็นพวกวะฮาบีย์มาปล้นแม้กระทั่งสุสานของพระศาสดาก็โกรธ ได้ทำสงครามปราบปรามพวกวะฮาบีย์จนสิ้นฤทธิ์ไปหลายครั้ง

พวกวะฮาบีย์ใช้เวลาอีกนับร้อยปีสู้กับออตโตมัน สู้กับอาหรับกลุ่มอื่น และสู้กันเอง ในที่สุดอับดุลอาซีสซึ่งเป็นลูกหลานของมุฮัมมัด บิน สะอู๊ด ได้เข้าสวามิภักดิ์กับอังกฤษ ใช้กำลังอาวุธ ปืนกล และเงินทุนที่รับมาจากอังกฤษปราบปรามคู่แข่งการเมืองทุกกลุ่ม รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นตั้งชื่อว่าประเทศซาอุดิอาระเบียตามชื่อบรรพบุรุษ (สะอู๊ด) เขาตั้งตัวเป็นกษัตริย์ กลายเป็นต้นวงศ์ของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน


กษัตริย์อับดุลอาซีส

ครั้นเวลาผ่านไป อเมริกาขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกแทนอังกฤษ วงศ์ซาอุก็เข้าสวามิภักดิ์ต่ออเมริกา และอาศัยการสนับสนุนของพญานกอินทรี สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงในโลกอาหรับต่อไป วงศ์ซาอุนี้เอง ได้ทำการเผยแผ่แนวทางวะฮาบีย์ไปทั่วโลก ตีพิมพ์หนังสือ ให้ทุนการศึกษาคนมาร่ำเรียนแนวทางนี้มากมาย

จริงๆ แนวทางอนุรักษ์นิยมนี้ก็ดีอยู่ โดยมันทำให้สังคมมีระเบียบ ผู้คนอยู่ในศีลธรรม ไม่หย่อนยาน เหมือนสมัยปกครองโดยตุรกี แต่ในขณะเดียวกันถ้าใช้ไม่ระวังมันก็จะทำให้เกิดความรุนแรงได้ง่าย ลองนึกภาพดูว่าถ้าประเทศไทยมีกลุ่มพระสงฆ์เถรวาทไปไล่ทำลายวัดจีนมหายานจะเกิดอะไรขึ้น?

วะฮาบีย์ก็เช่นกัน แม้ตัวแนวทางจะดี และกลายเป็นต้นกำเนิดของอิสลามสายจารีตนิยมในยุคสมัยใหม่ แต่ก็มีคนหลายกลุ่มที่รับเอาอิทธิพลจากวะฮาบีย์ไปบิดเบือนใช้อย่างรุนแรง เกิดแนวคิดที่ว่าพวกตนเป็นมุสลิมที่ดีเลิศที่สุด และอะไรๆ ที่ไม่เหมือนพวกตน (เช่น ชีอะห์ เป็นต้น) จะต้องทำลายล้างให้สิ้น

ในหลายกรณี อเมริกาใช้คนกลุ่มนี้ให้เป็นประโยชน์ หลักฐานหลายประการบ่งชี้ว่าลุงแซมได้สนับสนุนอาวุธและการฝึกทหารกับกลุ่มนักรบมุสลิมจำนวนมาก (มี บินลาเดน เป็นอาทิ) ให้เข้าไปรบกับโซเวียตในยุทธภูมิอัฟกานิสถานจนได้รับชัยชนะ

ท่านที่อ่านถึงตรงนี้อาจจะงงว่าเมื่ออเมริกาสนับสนุนแบบนี้ ทำไมพวกอิสลามแนวฮาร์ดคอว์หลายกลุ่มจึงมักจะมองอเมริกาเป็นศัตรู?

คำตอบคือ อเมริกาก็เหมือนพ่อที่มีลูกๆ หลายคน เนื่องจากลูกคนหนึ่งชื่อ “ยิว” นั้นหาเงินเก่งเป็นพิเศษ ทำให้อเมริกามีความเอ็นดู พอลูกยิวไปแย่งเสื้อที่เขียนว่า “ปาเลสไตน์” มากจากลูกเมียน้อยชื่อ “อาหรับ” พ่ออเมริกาจึงมีความลำเอียงเข้าข้างลูกยิว ทำให้ลูกอาหรับมีความน้อยใจเป็นอันมาก



มุสลิมหลายคนประจักษ์ว่ายังไงอเมริกาก็ไม่ช่วยอาหรับไปมากกว่ายิว นอกจากนั้นยังแทรกแซงสงครามที่อิสลามตีกันเองอีกหลายครั้ง สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือรัฐบาลประเทศอิสลามหลายๆ ประเทศก็ยังพินอบพิเทาอเมริกาอยู่

พวกเขาเกิดความเห็นตรงกันว่า “อเมริกานี่แหละตัวร้ายสุด” เกิดแนวคิดว่ามุสลิมควรรวมตัวกันโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ช่วยเหลือกันสร้าง “ขั้วอำนาจใหม่” ที่เป็นอิสลามบริสุทธิ์

เกิดองค์กรนอกรัฐขึ้นตอบสนองแนวคิดนี้มากมาย
คนที่มีแนวคิดนี้แบบรุนแรงน้อยก็จะเผยแพร่แนวคิดโดยสันติ ทำเรื่องดีๆต่อสังคมให้คนอื่นยกย่องนับถือ

คนที่มีแนวคิดนี้แบบรุนแรงปานกลางเห็นมุสลิมที่อื่นถูกรังแกก็จะไปช่วยเหลือปกป้อง โดยหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง และยังมีมนุษยธรรมอยู่

คนที่มีแนวคิดนี้แบบรุนแรงมากก็อาจจะถูกศรัทธาบังตาจนลืมมนุษยธรรม สามารถถือปืนไปฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง วางระเบิดในที่ชุมนุมชนโดยยังคิดว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์

...

...

...ส่วนคนที่เลวก็จะใช้ประโยชน์จากแนวคิดนี้ ก่อการร้าย สร้างความเกลียดชัง หลอกคนให้ไปตายเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน...

ตามที่เขียนไปแล้ว พวกเชเชนนั้นไม่เคยเคร่งศาสนาอิสลามมาก่อน หากสู้จะสู้เพื่อชาติเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อศาสนา อย่างไรก็ตามในยุคสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งนั้นก็มีเหตุการณ์ที่กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงได้เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในเชชเนีย

ผู้นำคนสำคัญของพวกอิสลามหัวรุนแรงที่เข้ามามีชื่อว่า อิบนุ อัลค็อตตอบ เป็นชาวซาอุดิอาระเบียซึ่งมีสายสัมพันธ์กับบินลาเดนและกลุ่มอัลเคดา เขาเคยร่วมรบหลายสมรภูมิ และได้พบกับบาซาเยฟในสมรภูมิอาเซอไบจัน ที่นั่นเขาสามารถเผยแผ่แนวคิดอิสลามหัวรุนแรงให้บาซาเยฟสำเร็จ และได้บาซาเยฟมาเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่แนวคิด


ค็อตตอบ

ค็อตตอบติดตามเข้าร่วมรบในสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่ง สร้างผลงานดีเยี่ยมในการซุ่มโจมตีที่ชาทอย โดยสามารถสังหารทหารรัสเซียถึงเจ็ดสิบหกคน ต่อมาเขาได้สนิทสนมกับนายเซลิมคาน ยันดาบิเยฟซึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการณ์หลังจากดูดาเยฟเสียชีวิต


เซลิมคาน


โอ๊ะ ขอโทษทีครับ! หยิบรูปผิด คนนี้ต่างหาก เซลิมคาน ยันดาบิเยฟ

ในการเลือกตั้งหลังสงครามยันดาบิเยฟถูกมองว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงซึ่งชาวเชเชนไม่ชอบ จึงมีการเทคะแนนเสียงให้มาสคาดอฟซึ่งเป็นสายกลาง จนชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป (มาสคาดอฟได้ประมาณ 60% ยันดาบิเยฟได้ราว 10%)

มาสคาดอฟมีวิสัยทัศน์ว่าประเทศของเขานั้นเล็กมาก ต่อให้มีมหาอำนาจตะวันตกมาช่วยอย่างไร แต่น้ำไกลย่อมยากดับไฟใกล้ ในระยะยาวเชชเนียจะดำรงตนลำบากหากขาดการยอมรับจากรัสเซีย เขาจึงใช้โอกาสที่กำลังชนะสงคราม เข้าเจรจาต่อรองกับรัฐบาลเยลซิน ทำให้สนธิสัญญาสันติภาพมีความคืบหน้า และช่วยให้อธิปไตยของเชชเนียมั่นคงมากขึ้น


มาสคาดอฟเจรจากับเยลซิน

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ายังมีภาระอีกมากมายที่เกินกำลังความสามารถของมาสคาดอฟจะกอบกู้ได้
เชชเนียภายหลังสงครามอยู่ในสภาพพังพินาศ รัฐบาลขาดทุนทรัพย์และกำลังคน ขุนศึกต่างๆ สะสมกำลัง ตั้งตัวเป็นอิสระ ปล้นจี้ ลักพาตัว สร้างความวุ่นวาย

บาซาเยฟและค็อตตอบไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลางก็ออกไปตั้งตัวเป็นขุนศึกสายอิสลามหัวรุนแรง ดำเนินการก่อการร้ายตามอุดมการณ์ของตน สร้างความเคียดแค้นชิงชังระหว่างชาวเชเชนกับชาวรัสเซีย ซึ่งจะพัฒนาไปจนปะทุขึ้นอีกครั้งในอนาคต



เยฟเกนี โรดิโอนอฟ ทหารชาวรัสเซียถูกทหารเชเชนจับไปบังคับให้ถอดไม้กางเขน เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม แต่เยฟเกนีไม่ยอมจึงถูกตัดหัวทั้งเป็น ชาวรัสเซียยกย่องเขามาก มีความพยายามจะตั้งเยฟเกนีเป็นเซนต์ในศาสนจักรออโธดอกซ์ เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นการฟื้นฟูด้านศาสนาในรัสเซียหลังยุคคอมมิวนิสต์

ความเข้าใจของเบเรซอฟสกี

มีคำกล่าวว่า ขณะที่โลกตะวันตกปกครองกันด้วย “กฎหมาย” แต่รัสเซียในยุคของเยลซินนั้นปกครองกันด้วย “ความเข้าใจ”

และด้วย “ความเข้าใจ” เยลซินได้อนุญาตให้คนที่ใกล้ชิดกับเขาเข้ามาหาประโยชน์กับแผ่นดินรัสเซีย เพื่อสร้างฐานอิทธิพลให้คนเหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็สร้างอิทธิพลให้เยลซินไปด้วย คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า The Family หรือ “ครอบครัว” ประกอบด้วยพวกนายทุน พวกพ้องบริวาร และญาติมิตรของเยลซินเอง ยิ่งคนเหล่านี้ใกล้ชิดเยลซินได้มากเท่าใดก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น

ยุคของเยลซิน “ครอบครัว” ได้แผ่ขยายอำนาจไปควบคุมองคาพยพต่างๆ ของรัสเซียเหมือนกับใยแมงมุม ในตอนนี้ผมจะขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับแมงมุมที่ชักใยอยู่ตรงกลางนามว่า “บอริส เบเรซอฟสกี”


บอริส เบเรซอฟสกี

เบเรซอฟสกีเป็นชาวรัสเซียเชื้อสายยิว เกิดในครอบครัวช่างก่อสร้าง ฐานะธรรมดา รูปร่างภายนอกมิได้โสภานัก คือเป็นคนอ้วน เตี้ย หัวล้าน อย่างไรก็ตามหากใครได้คุยกับเขาสักเพียงเล็กน้อย และสัมผัสถึงความฉลาดเฉลียวของเขาจนลืมลักษณะภายนอกของเขาไปสิ้น

ด้วยสติปัญญาเหนือล้ำกว่าคนอื่น เบเรซอฟสกีได้ร่ำเรียนจบดอกเตอร์ทางคณิตศาสตร์ ต่อมาเขาเข้าสู่วงการธุรกิจ และใช้เล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย และความกล้าได้กล้าเสียเข้าต่อสู้ในวงการทุนนิยมเกิดใหม่ของรัสเซีย มีข่าวลือว่าเขาเคยสังหารเพื่อร่วมงานเพื่อผลประโยชน์ ขณะเดียวกันก็เคยรอดพ้นจากการลอบฆ่าของศัตรูทางธุรกิจ

เบเรซอฟสกีต่อสู้ในสมรภูมิธุรกิจอย่างโชกโชน และผ่านพ้นออกมาอย่างผู้ชนะ กลายเป็นมหาเศรษฐีในระยะเวลาอันสั้น แต่ความสนใจแท้จริงของเศรษฐีผู้นี้ก็หาใช่เรื่องเงินไม่

ครั้งหนึ่งเบเรซอฟสกีเคยกล่าวชมเชยเพื่อนนักคณิตศาสตร์ของเขาว่าเป็นอัจฉริยะ มีคนบอกว่า “ถ้าเพื่อนคนนั้นฉลาดจริงทำไมเขาไม่รวยอย่างคุณล่ะ?” เบเรซอฟสกีฟังดังนั้นก็ตอบกลับอย่างอารมณ์เสียว่า “ความรวย? ผมจะบอกให้นะว่าการสร้างความร่ำรวยคืออะไร... มันเป็นแค่ทักษะประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง และเป็นทักษะง่ายๆ คนโง่ๆ ก็มีทักษะนี้ได้”



สำหรับเศรษฐีผู้นี้ ทักษะที่เหนือกว่าการสร้างความร่ำรวย คือ “ความเข้าใจ”

ในตอนนั้นเขาสร้างความเข้าใจในรัฐบาลเยลซินอย่างทะลุปรุโปร่ง และมองเห็นลู่ทางที่จะได้อะไรหลายอย่างที่มีค่ากว่าเงินมาก

เบเรซอฟสกีซื้อสถานีโทรทัศน์ใหญ่ของรัสเซียทำให้เขามีอำนาจสื่ออยู่ในมือ เขาหาเส้นสายเข้าไปสนิทกับเยลซิน และแสดงให้เยลซินเห็นว่าเขาสามารถสร้างความสำเร็จหลายอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ โดยการใช้สื่อสนับสนุนเยลซิน และชักชวนให้กลุ่มนักธุรกิจช่วยกันออกเงินสนับสนุนจนเป็นกำลังสำคัญในการทำให้เยลซินชนะการเลือกตั้งครั้งที่สอง ในลักษณะนี้เพียงชั่วเวลาไม่นานเบเรซอฟสกีก็ขึ้นเป็นคนสำคัญที่กุมอำนาจของ “ครอบครัว” ไว้


มีคำกล่าวว่า “เยลซินเป็นผู้ปลดปล่อยรัสเซียจากคอมมิวนิสต์ ส่วนเบเรซอฟสกีเป็นผู้เอารัสเซียไปขายทอดตลาด”

ครับ... เมื่อเบเรซอฟสกีได้อำนาจมาเขาก็ให้พรรคพวกทำการทุจริตหลากหลายรูปแบบ กวาดซื้อรัฐวิสาหกิจ ไฟฟ้า ประปา น้ำมัน แร่ธาตุ วิทยุ โทรทัศน์ไว้ในราคาถูก ควบคุมบัญชาให้หน่วยงานเหล่านี้ทำงานไปเพื่อประโยชน์ของตน ดูดเอารายได้มหาศาลของประเทศเข้าสู่กระเป๋า


โรมัน อับราโมวิชหนึ่งในสมาชิกของ “ครอบครัว” เคยร่วมมือกับเบเรซอฟสกีทำการทุจริตฮั้วประมูลบริษัทน้ำมันซิบเนฟของรัฐบาล จนสามารถซื้อซิบเนฟได้ในราคาหนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐ จากราคาจริงราวสามพันล้านเหรียญ

ยิ่ง “ครอบครัว” โกงกินมาก ประชาชนก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาในตัวเยลซิน คู่แข่งทางการเมืองคนใหม่ชื่อนายเยฟเกนี พรีมาคอฟซึ่งมีหัวเอนเอียงไปทางคอมมิวนิสต์กลับเจิดจ้ามาแทน (มีการประมาณกันว่าขณะพ้นตำแหน่งนั้นความนิยมของเยลซินตกต่ำไปอยู่ที่เพียง 2%)


เยฟเกนี พรีมาคอฟ

เพื่อรักษาฐานอำนาจเอาไว้ “ครอบครัว” ได้พยายามหาทายาททางการเมืองที่จะมาแทนเยลซินได้ ในเวลานั้นเองชื่อของหัวหน้า FSB “วลาดิเมียร์ ปูติน” ก็เริ่มโดดเด่นขึ้น

มีข่าวลือว่าปูตินทำเรื่องหลายประการในการขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยนอกจากแบล็คเมล์เยลซินให้ยกตำแหน่งทายาทแลกกับการลงจากตำแหน่งอย่างปลอดภัยแล้ว เขายังไปเยี่ยมคารวะเบเรซอฟสกีหลายครั้ง เพื่อโน้มน้าวให้เชื่อว่าเขาเป็นเพียงหมาล่าเนื้อเชื่องๆ ที่พร้อมจะอยู่ใต้อำนาจ

เบเรซอฟสกีเห็นว่าปูตินยังหนุ่ม เล่ห์กลใดๆ คงห่างชั้นกับเขานัก น่าจะสามารถควบคุมได้ง่าย จึงให้การสนับสนุนปูตินในการเลือกตั้งปี 1999 โดยใช้สื่อใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายพรีมาคอฟ และเชิดชูปูตินจนสามารถชนะการเลือกตั้ง

ครั้นส่งปูตินขึ้นสู่บัลลังก์สำเร็จ เบเรซอฟสกีก็วางใจว่าเด็กของเขาได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ต่อไปเขาจะต้องมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นอีก และมีความสบายมากขึ้น

...อนิจจา นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์...



ระเบิดปะทุ

เมื่อปูตินขึ้นมาสู่อำนาจเขาได้ผลักดันคนสองกลุ่มขึ้นมาเป็นแขนขาของตน

หนึ่งคือกลุ่มปัญญาชนเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประกอบด้วยนักกฎหมาย และนักเศรษฐศาสตร์ที่มากความสามารถจากเมืองบ้านเกิดของปูติน คนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายบุ๋น” หลัก โดยนักกฎหมายดูแลการร่างกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาด และความมั่นคงทางการเมือง ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ดูแลการปฏิรูปเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็ง


นายดิมิทรี เมดเวเดฟซึ่งต่อมาเป็นทายาทของปูตินก็อยู่ในกลุ่มปัญญาชนเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนี้

สองคือกลุ่มนักการเมืองซึ่งมีพื้นเพเป็นคนในเครื่องแบบ เรียกว่าพวก “สิโลวิก” หลักๆ คือพวกสายลับ FSB ซึ่งปูตินเคยเป็นหัวหน้านั่นเอง ประธานาธิบดีใหม่ใช้คนเหล่านี้เป็น “ฝ่ายบู๊”


หน่วย FSB

สายลับพวกนี้ได้รับการมองว่ามีอุดมการณ์หลักคือ “ชั่วช้าสามานย์ ทุกประการเพื่อประเทศ”

พวกเขามีหน้าที่โดยตรงที่จะทำเรื่องสกปรกไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เช่น การทำจารกรรม ข่มขู่ ลักพา หรือฆ่าคน พวกเขาถูกยึดเหนี่ยวโดย “ธรรมะ” เพียงหนึ่ง คือการกระทำทั้งหมดนี้ต้องมุ่งสู่ผลประโยชน์ของรัสเซียเป็นสำคัญ ภายใต้ยุคของปูติน หน่วยสายลับเหล่านี้จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น และสร้างเรื่องชั่วช้าอีกมากมาย “เพื่อชาติ”

หากท่านจำได้ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้นปูตินเขียนวิทยานิพนธ์ชื่อ “การวางแผนกลยุทธ์เรื่องทรัพยากรภูมิภาคภายใต้การก่อตัวของตลาดสัมพันธ์” เนื้อหาของวิทยานิพนธ์นี้สรุปง่ายๆ มาจากวิสัยทัศน์ของปูตินที่ว่า “วิธีที่จะทำให้รัสเซียกลับเป็นมหาอำนาจได้อีกครั้ง คือ การควบคุมการส่งออกน้ำมันสู่ทวีปยุโรป”

ความที่ประเทศรัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่มีน้ำมันมาก เทียบกับประเทศในยุโรปที่มีอาณาเขตเล็ก ไม่มีน้ำมันแต่มีความต้องการใช้น้ำมันมหาศาล หากรัสเซียทำให้ยุโรปต้องพึ่งพาน้ำมันจากตน จะมีข้อต่อรองเพิ่มขึ้นมากมายบนเวทีโลก

เพื่อการดังกล่าวปูตินได้วางแผนเข้าแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่มีชัยภูมิเหมาะเป็นที่วางท่อส่งน้ำมันจากรัสเซียไปยุโรป พร้อมทั้งยับยั้งการสร้างท่อน้ำมันในประเทศนอกอิทธิพลรัสเซีย


ท่อน้ำมันของรัสเซีย

แต่ขณะที่ปูตินเริ่มเข้าสู่อำนาจ ยังไม่ทันได้ทำอะไรตามนโยบายที่วางไว้ เขาก็ถูกท้าทายด้วยปัญหาใหญ่ทันที!

...ปัญหานั้นเริ่มที่เชชเนีย ค็อตตอบและบาซาเยฟวางแผนบุกโจมตีดาเกสถานซึ่งเป็นดินแดนที่ผู้คนเคร่งศาสนามากกว่าเชชเนีย ด้วยการติดต่อกับกองกำลังปฏิวัติในดาเกส ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่า ทันที่ที่ทัพเชเชนชูธงอิสลามสากลบุกเข้าเมือง ประชาชนจะต้องลุกฮือขึ้นตอบรับ และช่วยกันขับไล่พวกรัสเซียออกไป

จากนั้นค็อตตอบและบาซาเยฟจะใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นจากการตีดาเกสถานได้ หวนกลับมาตีประธานาธิบดีมาสคาดอฟ และทำลายพวกเชเชนสายกลางให้หมด ค็อตตอบและบาซาเยฟจะรวมดาเกสถานกับเชชเนียเข้าด้วยกันเป็นดินแดนอิสลามธิปไตยแห่งคอเคซัสคล้ายสิ่งที่ชามิลอิหม่ามฟินเคยทำมาก่อน

ในปลายยุคเยลซิน ค็อตตอบบาซาเยฟก็โจมตีดาเกสถานอยู่เนืองๆ ครั้นเมื่อปูตินสืบทอดอำนาจ พวกเขาปรึกษากันเห็นว่าตอนนี้รัสเซียกำลังผลัดแผ่นดิน ความขัดแย้งภายในยังมี จิตใจคนยังไม่สงบ รัฐบาลคงอ่อนแอลงมาก นี่เป็นโอกาสสำคัญในการก่อการใหญ่!


ค็อตตอบบาซาเยฟ

สิงหาคมปี 1999 ค็อตตอบบาซาเยฟยกทัพใหญ่ด้วยกำลังสองพันคน ข้ามพรมแดนไปตีดาเดสถาน พวกเขายึดหลายหมู่บ้านได้อย่างง่ายดาย และประกาศตั้งประเทศอิสลามดาเกสถานขึ้น

ความที่รัสเซียอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดินทำให้การส่งทหารตอบโต้ทำได้ล่าช้า ค็อตตอบบาซาเยฟตั้งทัพกดดันให้ประชาชนดาเกสถานลุกฮือขึ้นมาสนับสนุนพวกตนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ปรากฏว่าประชาชนดาเกสถานก็ลุกฮือขึ้นจริงๆ! ...แต่ลุกฮือขึ้นขับไล่พวกบาซาเยฟนั่นแหละ!


ทหารบ้านดาเกสถาน

...ครับ เรื่องราวกลับตาลปัตร เมื่อชาวดาเกสถานต่อต้านเชชเนียเพราะกลัวการถูกปกครองโดยพวกบ้าศาสนาหัวรุนแรง...

กองกำลังตำรวจดาเกสถานรวบรวมทหารบ้านหลักหมื่น แม้มีอาวุธจำกัด แต่ก็สามารถต้านทานฝ่ายค็อตตอบบาซาเยฟจนกระทั่งกองทัพรัสเซียมาช่วย


ทหารบ้านดาเกสถานชูธงรัสเซียสู้บาซาเยฟ

ปูตินเริ่มต้นอาชีพผู้นำประเทศของเขาโดยการออกคำสั่งให้กองกำลังที่มีเทคโนโลยีดีที่สุดของรัสเซียออกรบ (เรื่องนี้ตรงข้ามกับสมัยเยลซินซึ่งมองเชเชนเป็นโจรกระจอก และเอาทหารธรรมดาไปรบแบบกองทัพมดทำให้ล้มตายกันมากมาย)

นอกจากมีการใช้ระเบิดเทอร์โมบาริกซึ่งมีอานุภาพการเผาผลาญซอกซอนรุนแรงกว่านาปาล์มแล้ว รถถัง T-90 ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของรัสเซียในเวลานั้น ยังมีความแข็งแกร่งมาก จรวด RPG ของพวกกบฏทำอะไรไม่ได้ มีรถถังคันหนึ่งถูก RPG ยิงจังๆ ไปเจ็ดนัดก็ยังสามารถแล่นทำการรบต่อ ตีจนพวกกบฏระย่นย่อ ต้องรีบถอยไปตั้งหลัก


รถถัง T-90

ครั้นประจักษ์แจ้งว่าไม่อาจสู้ตรงๆ แถมถูกชาวบ้านต่อต้าน ค็อตตอบบาซาเยฟจึงหันไปใช้ยุทธวิธีก่อการร้าย ส่งคาร์บอมไประเบิดตึกในดาเกสถาน คนตายไป 64 คน ขณะเดียวกัน ยังลอบวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในรัสเซียหลายจุด ฆ่าชาวบ้านตายไป 293 คน สร้างความหวาดกลัว บีบให้ประชาชนเกลียดชังกันตามสูตร


อพาร์ตเมนต์ที่ถูกระเบิด

ภายหลังบาซาเยฟได้อธิบายการกระทำของเขาว่า “คนพวกนี้ไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกมันจ่ายภาษี พวกมันเงียบเมื่อรัฐบาลของมันทำเรื่องร้ายๆ มันก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย”

คำพูดดังกล่าวถ้ารัฐบาลอื่นได้มาฟังอาจจะหวั่นไหวบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับปูติน

...นั่นเพราะปูตินก็ใช้หลักเหตุผลเดียวกัน!...


เลือดล้างแผ่นดิน

ทัพรัสเซียใช้เวลาไม่กี่เดือนในการขับไล่กบฏออกจากดาเกสถาน ประธานาธิบดีมาสคาดอฟหวาดกลัวว่าจะถูกเหมารวมไปกับพวกกบฏก็รีบติดต่อรัสเซียว่าจะขอร่วมปราบค็อตตอบบาซาเยฟด้วย

...แต่ปูตินไม่ฟังแล้ว...

นั่นเพราะปูตินหมายมาดมาแต่ต้นว่าจะต้องปราบเชชเนีย หนึ่งเพื่อทวงคืนเกียรติภูมิหลังการพ่ายแพ้ในสงครามครั้งแรก สองเพื่อยุทธศาสตร์น้ำมันที่วางไว้ โดยเชชเนียมีชัยภูมิเหมาะกับการต่อท่อน้ำมันจากอาเซอไบจัน (ขณะนั้นเป็นบริวารรัสเซีย) และทะเลสาบแคสเปียน ผ่านไปขายยุโรป

นอกจากนั้น การที่รัฐบาลมาสคาดอฟ ปล่อยปละละเลยให้พวกอิสลามหัวรุนแรงตั้งตัวเป็นขุนศึก ออกโจมตีรัสเซียอยู่เนืองๆ มานานหลายปีเท่ากับมาสคาดอฟต้องรับผิดชอบด้วย!

ด้วยเหตุผลเดียวกับบาซาเยฟ... ประชาชนเชเชนที่เลือกมาสคาดอฟมาต้องรับผิดชอบด้วย!

ทันทีที่ชนะศึกดาเกสถาน เครื่องบินรัสเซียก็บินไปทิ้งระเบิดสนามบินและโรงผลิตน้ำมันในกรอสนี สังหารทหารและประชาชนไปมากมายเพื่อเป็นตัวอย่าง มีการทิ้งใบปลิวมาบอกว่าราษฎรทุกคน ใครคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ก็ให้รีบหนีจากกรอสนี ทัพรัสเซียจะเปิดทางให้ หากหนีไปช้ากว่านี้ถือเป็นกบฏ เอาตัวรอดกันเอง


ชาวบ้านเชเชน

ประชาชนในกรอสนีรับทราบข่าวนี้ และเห็นๆ กันว่ารัสเซียเอาจริงก็เกิดแตกตื่น ผู้คนนับแสนต่างอพยพออกจากเมืองไป เหลืออยู่เพียงไม่กี่หมื่น ฝ่ายทหารทั้งสายกลาง สายรุนแรงแม้ไม่ชอบกัน แต่ถูกกดดันจากศัตรูที่แข็งแกร่งให้ร่วมมือกันต่อสู้

ฝ่ายเชเชนวางสไนเปอร์เอาไว้ตามตึกสูงต่างๆ พร้อมกับการวางกับระเบิด และลวดหนามป้องกันเวลาพวกรัสเซียบุกขึ้นตึก พวกเขาหลบลงใต้ดินเดินทางติดต่อกันด้วยระบบท่อน้ำซึ่งเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี มีการวางแผนกันว่าจะล่อพวกรัสเซียให้เข้ามาติดกับในเมือง แล้วรุมตลบหลังแบบที่เคยใช้ได้ผลในสงครามครั้งแรก

...อย่างไรก็ตามพวกเขายังนึกไม่ถึงว่าจะต้องเจอกับอะไร...

ปูตินแก้ไขความผิดพลาดจากศึกก่อนหน้าโดยการไม่ยอมเปิดศึกในเมืองแบบที่ฝ่ายตรงข้ามถนัด แต่หันไปใช้เครื่องบิน บินมาทิ้งระเบิดถล่มตึกทุกตึกที่พวกกบฏสามารถใช้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ได้จนราบเป็นหน้ากลอง จากนั้นจึงส่งทหารราบตามเข้าเก็บกวาดพร้อมการสนับสนุนทางอากาศอย่างครบครัน

มีคำกล่าวว่า “ในสมัยเยลซิน หากทหารรัสเซียพบว่ามีสไนเปอร์ยิงมาจากตึกไหน ก็จะต้องให้หน่วยย่อยบุกขึ้นไปที่ตึกนั้น คัดแยกประชาชนจากพวกกบฏ แล้วจึงจับหรือฆ่ากบฏที่แฝงอยู่ ทำอย่างละเอียดแบบนี้ไปทีละตึกๆ...

“...แต่ในสมัยปูตินหากมีสไนเปอร์ยิงมาจากตึกใดก็จะเอาเครื่องบินไปถล่มตึกนั้นให้พินาศลงหมดทันที...”







การทิ้งระเบิดโดยไม่สนเป้าหมายทหารหรือประชาชนของปูตินสร้างความหวาดกลัวกับฝ่ายเชเชนเป็นอย่างมาก เพราะเห็นชัดเจนว่าศักยภาพทหารสู้ไม่ได้ อีกฝ่ายก็ไม่มีคุณธรรมอะไรแล้ว...

...สู้ไปมีแต่ตาย...

ปรากฏกบฏจำนวนมากเข้าสวามิภักดิ์รัสเซีย เดนตายที่เหลือพยายามตีฝ่าวงล้อมออกไปจากกรอสนีต้องถูกฆ่าระหว่างทางไปห้าหกร้อยคน มีไม่กี่พันหนีขึ้นเขาสำเร็จ

ปูตินไม่ได้หยุดแค่นั้น มีหลายกรณีที่มีการตามล่าพวกกบฏอย่างเหี้ยมโหด เช่น หลังจากพบว่าทัพใหญ่ของพวกกบฏซึ่งมีกำลังกว่า 1,500 คนหนีไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีประชากรราว 2,000 คน

ถ้าเรื่องนี้เกิดในศรีลังกา อย่างโหดสุดก็อาจจะมีการล้อมให้กบฏและประชาชนอดอยากจนเกิดการจลาจล ประชาชนต้องแตกหนีออกมาเอง แต่ในยุคปูตินก็มีการสั่งให้เอาเครื่องบินไประเบิดหมู่บ้านนั้นจนพินาศวอดวาย พวกกบฏตายไปกว่า 700 ถูกจับเกือบร้อย ประชาชนตายยับไม่นับได้







ในศึกนี้ชาวรัสเซียยังได้เห็นประธานาธิบดีปูติน นั่งเครื่องบินโดยสาร ขับเครื่องบินรบ Sukhoi 27 ไปบัญชาการที่กรอสนีด้วยตนเองขณะที่การศึกยังอุ่นระอุ


ปูติน


Sukhoi 27

เยลซินเคยรบกับพวกเชเชนอยู่แรมปีและพ่ายแพ้ แต่ความโหดเหี้ยมของปูตินทำให้สามารถเอาชนะสงครามในเวลาเพียงสามสี่เดือน

...หลังจากนี้ฝ่ายเชเชนได้ถูกปราบปรามจนอ่อนแอลงอย่างมาก ต้องกระจัดกระจายหนีขึ้นเขา และไม่เคยมีกำลังกลับมารบตามแบบได้อีกเลย...

ผักปลา

ตามที่กล่าวแล้วว่ามีขุนศึกเชเชนหลายคนเข้าสวามิภักดิ์ต่อรัสเซียในสงครามครั้งที่สองเพื่อความอยู่รอด
ในจำนวนนี้ อักห์มัด คาดีรอฟซึ่งเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายศาสนาของรัฐบาลมาสคาดอฟมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น

ตอนนั้นแม้ฝ่ายกบฏจะมีทั้งอิสลามสายกลาง และสายรุนแรงปะปนกัน แต่ยิ่งนานเข้าสายรุนแรงก็ยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับการสนับสนุนจากขบวนการก่อการร้ายสากล

เนื่องจากอักห์มัดนับถืออิสลามแนวทางซูฟีย์และมีความคิดต่อต้านแนวทางวะฮาบีย์สายรุนแรงที่ค็อตตอบนำเข้ามา เขาจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการเบี่ยงเบนความสนใจชาวเชเชนว่านี่ไม่ใช่เรื่องของชาติ แต่เป็นเรื่องของศาสนา (ชาวเชเชนส่วนใหญ่ไม่ชอบอิสลามสายรุนแรงอยู่แล้ว) อักห์มัดจึงส้มหล่นได้เป็นประธานธิบดีคนแรกของเชชเนียใต้การปกครองของรัสเซีย


อักห์มัด คาดีรอฟ

ขณะเดียวกันบาซาเยฟยังพยายามใช้แผนจับตัวประกันเพื่อต่อรองกับรัฐบาลแบบเดิม

ปี 2002 มีกลุ่มก่อการร้ายสายบาซาเยฟกว่า 40 คนเข้าจับผู้ชมในโรงละครในมอสโคว์กว่า 850 ชีวิตเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากเชชเนีย




โรงละครและผู้ถูกจับ

นี่กลายเป็นข่าวที่ผู้คนตื่นตระหนก และมีการพยายามเจรจาพาตัวประกันออกมาหลายครั้งโดยได้ผลเพียงเล็กน้อย

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับรัฐบาลเยลซิน อาจมีการยอมถอนทหารเพื่อรักษาชีวิตประชาชนตามแบบกรณีโรงบูเดนนอฟสก์
แต่ตามอุดมการณ์ของสายลับอย่างปูติน การกระทำทุกอย่างจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของ “ชาติ” และชาติในที่นี้หมายถึงประชาชนพลเมืองทั้งปวง ไม่ใช่หมายถึงบุคคลคนใดคนหนึ่ง

...หากประชาชนคนใด หรือกลุ่มใดกลายเป็นตัวถ่วงประชาชนทั้งหมดแล้วไซร้ ประชาชนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้นไม่ว่าเป็นชาวเชเชนหรือรัสเซียก็จะมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะถูกมองว่าเป็น...



ด้วยเหตุนี้ในวันที่สี่ของการจับตัวประกันจึงมีการรมแก๊สซึ่งมีฤทธิ์ทำให้สลบเข้าไปในโรงละคร
รัฐบาลรัสเซียไม่เคยเปิดเผยว่าใช้แก๊สอะไร แต่มันมีฤทธิ์แรงมากจนทำให้พวกก่อการร้ายหลายคนสลบหรือมีกำลังอ่อนลง กลายเป็นเป้าสังหารง่ายๆ ให้กับทหารรัสเซียที่บุกเข้าไป อย่างไรก็ตามคนบริสุทธิ์ที่มีร่างกายอ่อนแอพอถูกแก๊สชนิดนี้กลับเป็นอันตรายถึงชีวิต มีคนที่เจ็บป่วยถึงกับเสียชีวิตภายหลังถึง 130 คน


ในกลุ่มผู้ก่อการร้ายมีหน่วย "แม่ม่ายดำ" ซึ่งเป็นสตรีที่สามีถูกฆ่าในสงคราม พวกนี้มีใจเด็ดเดี่ยวมาก ผูกตัวเองกับระเบิด พร้อมตายทุกเมื่อ




การช่วยตัวประกันหลังรมแก๊ซ

อีกกรณีบาซาเยฟได้ส่งลูกสมุนบุกเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งในออสเซเตีย จับประชาชนกว่า 1,000 คนเป็นตัวประกัน ในจำนวนนั้นมีเด็กเล็กๆถึง 777 คน

พวกกบฏประกาศให้รัสเซียถอนทหารจากเชชเนีย จากนั้นเลือกตัวประกันมาราวยี่สิบคนแล้วฆ่าโชว์ แสดงให้เห็นว่าพวกตนพร้อมจะทำเรื่องโหดร้าย โดยคิดว่าการจับเด็กๆ แบบนี้จะทำให้พวกรัสเซียไม่กล้าทำอะไรรุนแรง






การจับตัวประกันที่เบสลัน

แต่แล้วพวกกบฏก็คิดผิดอีก!

พอการจับตัวประกันดำเนินไปถึงวันที่สาม ทหารรัสเซียก็บุกเข้าจู่โจมโรงเรียนด้วยอาวุธหนัก เช่น จรวดและรถถัง กลุ่มก่อการร้ายสามสิบสองคนถูกสังหารไปสามสิบเอ็ดคน อีกหนึ่งคนถูกจับไปรีดข้อมูล ตัวประกันตายไปสามร้อยคนเศษ และ 186 คน ในนั้นเป็นเด็ก






การโจมตีและการช่วยเหลือพวกเด็กๆออกมา

บาซาเยฟถึงกับตกอับด้วยไพ่ไม้ตาย คือการจับตัวประกันหมู่ซึ่งเคยใช้ได้ผลที่บูเดนนอฟสก์นั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะปูตินแสดงให้เห็นว่า เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ เขาสามารถให้ความยุติธรรมแก่ทั้งชาวเชชเนีย ออสเซเตีย และรัสเซีย...

...ความยุติธรรมในการเป็น “ผักปลา” โดยเท่าเทียมกัน...

นับจากเหตุการณ์บุกโรงเรียนดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏการก่อการร้ายด้วยการจับตัวประกันกลุ่มใหญ่ในรัสเซียอีก


ซากโรงเรียน

ยุคใหม่

ความโหดเหี้ยมในสงครามเชเชนทำให้ปูตินถูกมองว่าเป็นทรราชย์ผู้ชั่วร้ายไปในระยะเวลาไม่กี่เดือน

มีสื่อมวลชนและ NGO มากมายต่อต้านเขาอย่างหนัก แต่สื่อมวลชนและ NGO เหล่านั้นก็ถูกฆ่าหรือหายไปเฉยๆ จนไม่มีใครกล้าพูดมาก

การที่ปูตินประสบความสำเร็จในการควบคุมน้ำมันสู่ยุโรป ยังเป็นการทำให้นานาประเทศไม่กล้าขัดขวางเขาในการทำสงคราม



แอนนา พูลิคอฟสคายาเป็นสื่อมวลชนที่โจมตีปูตินเรื่องความโหดร้ายในสงครามเชชเนียอย่างหนัก ปี 2006 เธอก็ถูกยิงตายอย่างคลุมเครือ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเธอตายเพราะอะไร

...อันที่จริงปูตินทำเรื่องหนึ่งที่ทรราชย์ในยุคโซเวียต และเยลซินไม่เคยทำได้

...นั่นคือทำให้รัสเซียเจริญ...

ปูตินทราบดีว่าประชาชนที่บอบช้ำจากการโกงกินของรัฐบาลในยุคก่อน จำเป็นต้องได้รับพลังใจ และทุนทรัพย์ในการยืนหยัดกลับมาอีกครั้ง

เขาพัฒนาพื้นฐานสังคมให้เข้มแข็ง โดยปฏิรูประบบการศึกษา และสาธารณสุขให้มีความทันสมัย นอกจากนั้นยังมีนโยบายลดภาษี ทั้งภาษีส่วนบุคคล ภาษีบริษัท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย “ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” มีการประมาณกันว่าประชาชนรัสเซียภายใต้ยุคปูตินนั้นมีภาระด้านภาษีโดยรวมต่ำกว่าประชาชนแทบทั้งหมดในทวีปยุโรป

นโยบายนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง ประชาชนมีกำลังในการสร้างเนื้อสร้างตัว ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อภาษีต่ำคนก็ไม่พยายามหนีภาษี ของอะไรที่เคยอยู่นอกกฎหมายก็กลายเป็นของที่รัฐควบคุมได้ ทำให้ในที่สุดรัฐสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นอีกเสียอีก

นอกจากนี้ ปูตินยังเห็นว่ากลุ่มเด็กวัยรุ่นนั้นขาดความภาคภูมิใจในประเทศตนเอง เพราะเติบโตมาในยุคที่โซเวียตล่มสลาย และรัสเซียกำลังอ่อนแอ เขาจึงสนับสนุนให้มีกลุ่มพลังวัยรุ่นชื่อ “นาชิ” (แปลพวกเรา) ให้ออกเดินขบวนแสดงพลัง และบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม

เขาบอกพวกวัยรุ่นว่า “จงภูมิใจในรัสเซีย” “พวกเธอเป็นลูกหลานของประเทศที่เคยเข้มแข็งที่สุดในโลก” “เราจะต้องทำให้รัสเซียให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ปรากฏว่าแคมเปญนาชินี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงไม่นานก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมาเข้าร่วมเพิ่มจากจำนวนไม่กี่หมื่น เป็นหลายแสนคน ประชาชนรัสเซียมีความภาคภูมิใจในชาติของตนเอง กลายเป็นแรงหลักในการขับเคลื่อนประเทศ


การแสดงพลังของพวกนาชิ

ในด้านการเมืองหลังจากได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเพียงไม่นาน ปูตินก็ทำตัวเหินห่างกลุ่ม “ครอบครัว” ของเบเรซอฟสกี และไปผูกมิตรกับพรีมาคอฟอดีตคู่แข่งให้มาร่วมมือกันพัฒนาประเทศ


ปูตินจับมืออดีตคู่แข่งพรีมาคอฟ

“ความเข้าใจ” ของปูติน คือ เขาจะทำตามสัญญาที่จะไม่เอาผิดย้อนหลังเรื่องการทุจริตของเยลซินและญาติสนิท เพราะมากน้อยอย่างไร เยลซินก็เคยเป็นวีรบุรุษที่นำพาประเทศพ้นจากยุคคอมมิวนิสต์มาก่อน

...แต่สำหรับคนอื่นๆ นอกนี้จะไม่มีการละเว้นใดๆ ทั้งสิ้น...

ปูตินใช้เวลาไม่นานเลยในการเดินไปบอกกลุ่มนายทุน “ครอบครัว” ว่า “พวกเมิงเอาอะไรของประเทศไปก็เอามาคืนซะ”

ตอนแรกพวก “ครอบครัว” เห็นเด็กในสังกัดมาบอกแบบนี้ก็โมโห พากันต่อต้านว่า “ตามกฎหมายขายแล้วจะให้คืนไม่ได้!” “ถ้าเอาไปแล้ว จะเอารายได้จากไหนมาสนับสนุนตอนแกเลือกตั้ง!” “เป็นแค่หน้าฉากอย่ามาทำกระด้างกระเดื่อง!”

เบเรซอฟสกียังให้สื่อมวลชนต่างๆ ออกข่าวโจมตีปูติน เป็นสัญญานว่าถ้าปูตินซ่าส์มาก เขาก็พร้อมจะถอดออก แล้วหาคนอื่นมาเป็นประธานาธิบดีแทน

จริงอยู่การเอารัฐวิสาหกิจคืนมา หากใช้วิธีตรงๆ ในทางกฎหมายคงทำได้ยาก ปูตินจึงใช้วิธีที่เรียบง่ายกว่านั้นมากเรียกว่า “ใครไม่คืนก็ฆ่าซะ!”

ปรากฏพวกกลุ่มนายทุน “ครอบครัว” ซึ่งเคยเป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของประเทศ ถูกสายลับของปูตินไล่ล่า ขุดเอาความผิดในอดีตมายัดข้อหา ยัดเข้าคุก แล้วยึดเอาทรัพย์สมบัติของประเทศกลับคืนมา

เบเรซอฟสกีต้องรีบหนีไปอังกฤษ ด้วยความแค้นเคืองที่นึกไม่ถึงว่าปูตินจะกล้าเล่นงานเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เบเรซอฟสกีจึงปวารณาตัวเป็นศัตรู ใช้ลอนดอนเป็นฐานออกข่าวโจมตีปูติน ให้การสนับสนุนกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ต่อต้านปูติน


หลังเบเรซอฟสกีหนีไปอังกฤษก็ออกข่าวด่าปูตินอยู่เป็นนิจ และยังประกาศว่าพร้อมสนับสนุนการเงินกองกำลังใดก็ได้ที่อยากโค่นปูติน

ปรากฏอยู่ๆ เบเรซอฟสกีก็พบว่าตัวเองเกือบจะถูกฆ่าด้วยอาวุธเคมีที่จับมือใครดมไม่ได้ เขาหวาดกลัวมาก ต้องจ้างบอร์ดี้การ์ดชั้นหนึ่งให้มาคุ้มครองตน

...แต่บอร์ดี้การ์ดคุ้มครองเขาได้คนเดียว...

ปรากฏญาติสนิทมิตรสหายของเบเรซอฟสกีถูกตามเก็บ เพื่อนคนหนึ่งของเขาชื่อ อเล็กซานเดอร์ ลิตวินเน็นโกถูกวางยาสังหารด้วยพิษกัมมันตภาพรังสีซึ่งคนธรรมดาหามาได้ยาก ทำให้เบเรซอฟสกีต้องหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก

เบเรซอฟสกีอยู่อังกฤษนานเข้า เงินเริ่มหมด เห็นโรมัน อับราโมวิช อดีตสหายที่ร่วมโกงกันมากำลังบริหารทีมเชลซีก็นึกแค้น


ตอนที่กลุ่ม “ครอบครัว” ถูกปราบ อับราโมวิชไหวตัวทันเข้าสวามิภักดิ์ปูติน และยอมขายหุ้นที่โกงมาคืนแก่รัฐบาลโดยดี ทำให้สามารถใช้ชีวิตเป็นสุขต่างจากคนอื่นๆ

อดีตผู้ชักใยประเทศจึงฟ้องอับราโมวิชว่าเคยบีบบังคับซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันจากเขาในราคาถูกเกินจริง พร้อมทั้งใช้เงินมากมายในการต่อสู้คดี

...ว่ากันว่าเบเรซอฟสกีใช้เงินในการดำเนินคดีครั้งนั้นเยอะมาก ผลสรุปคือเขาแพ้คดีโดยแทบสิ้นเนื้อประดาตัว...

บั้นปลายนายทุนผู้นี้กลับกลายเป็นคนตกอับ มีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว ในที่สุดเขาถึงกับต้องเขียนจดหมายไปขอร้องให้ปูตินให้อภัยตน

...ซึ่งไม่ปรากฏว่าปูตินตอบกลับอย่างใด...

มีนาคมปี 2013 ที่ผ่านมานี้ โลกได้เห็นเบเรซอฟสกีผูกคอตายในห้องน้ำ ปิดฉากชีวิตซึ่งเคยโลดแล่นผาดโผน สร้างอำนาจบงการประเทศทั้งประเทศ...


บ้านที่เบเรซอฟสกีตาย

การปราบปรามเชเชน การกำจัดครอบครัวนายทุนของเยลซิน การเสริมความแข็งแกร่งภาคประชาชน บวกกับการควบคุมท่อน้ำมันสู่ยุโรปทำให้รัสเซียในยุคปูตินรุ่งเรืองจนกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง

ประชาชนรู้ว่าปูตินไม่ใช่ตัวดี และรู้ว่าถ้าพวกเขาซวยเผลอไปขวางแผนการของประธานาธิบดีคนนี้ก็จะต้องถูกกำจัดอย่างไร้ปราณี

กระนั้นความที่ผู้ปกครองคนก่อนๆ ของโซเวียตก็ไม่ได้เลวทรามน้อยกว่าปูตินเท่าใด แต่ปูตินสามารถจัดการแก้ไขปัญหาหลายๆอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ ช่วยทำให้คนพ้นจากความยากจน พาให้ประเทศเจริญกลับมาอีกครั้ง ประชาชนจึงรักปูตินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


GDP ของรัสเซียแบ่งตามยุค เยลซิน ปูติน และเมดเวเดฟ

ชะตาของเชเชน

สงครามเชเชนครั้งที่สองคร่าชีวิตชาวเชเชนไป 25,000 – 50,000 คน
จากสงครามครั้งที่หนึ่งที่กรอสนียังมีเศษซากเหลืออยู่บ้าง พอถึงสงครามครั้งหลังกรอสนีก็ถูกกล่มราบเป็นหน้ากลองไปจริงๆ


ซากเมืองในเชชเนีย

ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัว สูญสิ้นความหวัง คิดว่าปูตินคือทรราชย์อีกคนหนึ่งที่จะมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาเหมือนอย่างยุคสตาลิน

จริงๆ ปูตินฆ่าชาวเชเชนไปเยอะ แต่เขาก็ทำสิ่งหนึ่งที่ไม่มีรัฐบาลเชชเนียชุดไหนทำได้

...นั่นคือทำให้เชชเนียเจริญ...

หลังจากรบชนะ ปูตินได้ทุ่มเงินมหาศาลลงไปเนรมิตให้เมืองกรอสนีฟื้นขึ้นมาอย่างสวยงามยิ่งกว่าก่อนถูกถล่มในสงครามสองครั้งเสียอีก

นอกจากนั้นเขายังสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างงานสร้างอาชีพ และทำอีกหลายประการ จนชาวเชเชนสามารถตั้งตัวกลับมาได้ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นโดยลำดับ












เชชเนียที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่

ตามที่ผมเรียนว่าเชชเนียนั้นมีขนาดประมาณจังหวัดตาก บรรหารยังทำให้สุพรรณบุรีเจริญได้ฉันใด ปูตินซึ่งมีทรัพยากรจากรัสเซียทั้งประเทศจะทำให้เชชเนียเจริญก็เป็นเรื่องไม่ยากฉันนั้น

การฟื้นฟูเชชเนียนี้เป็นการแสดงให้ชาวเชเชนตระหนักในประโยคสั้นๆที่ว่า...



มันคือสารที่ชัดเจนว่า ถ้าหากชาวเชเชนเคียดแค้นรัสเซียอยากสนับสนุนพวกกบฏก็ตามใจ แต่ก็ให้สำนึกว่าเครื่องบินรัสเซียสามารถบินมาถล่มบ้านเมืองเชชเนียที่กำลังดีอยู่ตอนนี้กลับเป็นนรกกี่รอบก็ได้ 

ส่วนถ้าชาวเชเชนยอมสวามิภักดิ์ต่อรัสเซียแล้วไซร้ ก็จะมีอะไรเดิ้นๆ ให้เล่นมากมาย

ประชาชนกินอิ่มนอนหลับ ทำงานได้อย่างเสรี ถึงเคยเคียดแค้นเพียงใด แต่ความกลัวนั้นมากกว่า พอปัญหาปากท้องถูกบรรเทาลงแล้ว ไหนเลยจะอยากกลับไปลำบากดังเก่าก่อน ปรากฏประชาชนเชเชนสวามิภักดิ์ต่อรัสเซียมากขึ้นทุกที

ฝ่ายกบฏก็มิได้นิ่งนอนใจ ยังทำกองโจรต่อต้านรัสเซียอยู่เสมอ

ในจำนวนผู้นำกองโจรนี้ ค็อตตอบมีผลงานโดดเด่นที่สุด สามารถใช้กลยุทธ์สังหารทหารรัสเซียตายไปหลายร้อยคนในการรบสำคัญถึงสองครั้ง


ค็อตตอบมีความเชี่ยวชาญในการซุ่มโจมตีศัตรูมาก

เรื่องนี้สั่นคลอนเกียรติภูมิกองทัพรัสเซียบ้าง ...แต่อย่าลืมว่าค็อตตอบอาจจะเก่งในการต่อสู้นอกแบบ แต่ FSB นั้นเป็นหน่วยงานที่ถนัดวิธีการสกปรกที่สุดหน่วยหนึ่งในโลก...

ไม่นานหน่วยสายลับ FSB ของปูตินก็สืบทราบได้ว่าค็อตตอบนั้นเป็นคนรักแม่ จะต้องอ่านจดหมายจากแม่ที่ซาอุดิอาระเบียส่งมาให้เป็นประจำ พวกเขาจึงซื้อตัวพลส่งข่าวให้เอายาพิษไปทาจดหมายนั้น พอค็อตตอบเปิดจดหมายออกอ่านก็ถูกยาพิษตาย


ค็อตตอบตาย

นอกจากนี้ในปี 2004 รัสเซียยังลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีเซลิมคาน ยันดาบิเยฟตาย โดยการวางระเบิดรถยนต์ที่ยันดาบิเยฟนั่ง


ซากรถของยันดาบิเยฟ

พวกกบฏเคียดแค้นมาก ปีเดียวกันมีการวางระเบิดลอบสังหารอักห์มัด คาดีรอฟ ประธานาธิบดีเชชเนียผู้สวามิภักดิ์ปูติน ตายคาสนามฟุตบอลพร้อมเหยื่ออีกหลายคน


อักห์มัดตาย

ฝ่ายรัสเซียเอาคืนโดยบุกโจมตีอย่างหนัก ปี 2005 สามารถสังหารมาสคาดอฟ ด้วยการโยนระเบิดมือใส่บังเกอร์ที่มาสคาดอฟหลบอยู่ มิถุนายน 2006 FSB ยังสามารถสังหารอับดุลฮาลิม ซาดุลาเยฟประธานาธิบดีคนถัดจากมาสคาดอฟด้วยการระดมยิง




การตายของมาสคาดอฟ และซาดุลาเยฟ

เดือนถัดมาขณะที่บาซาเยฟกำลังตรวจสอบอาวุธที่ขนมาใหม่ ขณะกำลังตรวจนั้นลังใส่อาวุธก็ระเบิดออก

ระเบิดรุนแรงมากจนบาซาเยฟตัวขาดครึ่งจบชีวิตอย่างน่าอนาถ!


ฉากสุดท้ายของบาซาเยฟ

ทางการรัสเซียเฉลยว่า FSB ลอบวางระเบิดในลังใส่อาวุธ และใช้เครื่องบินโดรนตามรอยไปจนพบบาซาเยฟ เมื่อเห็นจังหวะเหมาะก็กดรีโมทสังหาร

ด้วยอานุภาพการจารกรรมของ FSB ทำให้ผู้นำกบฏทั้งสายกลางสายรุนแรงถูกสังหารลงหมดจนแทบหาใครมาแทนไม่ได้!

ฝ่ายกบฏอ่อนแอลงไปมาก ยิ่งทำการก็ยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายการกู้ชาติมากขึ้นทุกที

ผู้นำกบฏคนล่าสุดชื่อ ดอกกา อูมารอฟได้ตั้งตัวเป็นเจ้า ประกาศยกเลิกสาธารณรัฐอิชเคเรีย ให้ตั้ง “คอเคซัส เอมิเรต” ขึ้นแทน ตัวเขาเองเลิกเป็นประธานาธิบดีแล้วหันไปเรียกตัวเองเป็น “เอมีร์” ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้านายของทางอาหรับ


ดอกกา อูมารอฟ

ปี 2009 หลังจากมั่นใจว่าปราบปรามบ้านเมืองจนสงบราบคาบลง พวกกบฏไม่อยู่ในสภาพที่จะทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทางการรัสเซียก็ประกาศยุติสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในเชชเนีย และถอนทหารส่วนใหญ่กลับ ปล่อยให้นายรามซาน คาดีรอฟบุตรของอักห์มัดเป็นประธานาธิบดีต่อไป

เรื่องราวสงครามเชเชนอันดุเดือด สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้คนมากมายมายาวนานก็ยุติลงแต่เพียงเท่านี้


มัสยิดอักห์มัด คาดีรอฟ เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ถูกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเมืองกรอสนี

บทสรุป

ท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่าสงครามเชเชนเป็นศึกที่สู้กันระหว่างสองฝ่ายที่มีกำลังต่างกันมาก

และในตอนท้ายนั้น ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยวีรกรรมของปูตินซึ่งปราบปรามฝ่ายอื่นๆ อย่างราบคาบ ปิดฉากยุคขุนศึกของเชชเนีย และยุคนายทุนของรัสเซีย...

แต่เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเพียงปลายยอดของเรื่องราวอีกมากมายที่ดำเนินติดต่อกันมาหลายร้อยหลายพันปี

ผมไม่อยากให้ท่านเห็นชาวเชเชนเป็นกบฏที่อ่อนแอและบ้าคลั่ง ที่สุดท้ายก็ถูกปราบลงอย่างไร้ความหมาย จึงได้อุทิศบทที่หนึ่งทั้งหมด เขียนถึงความเป็นมาของเชเชน เพื่อให้ท่านเห็นว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ผลักดันทำให้พวกเขาต้องเป็นไปดังนี้...

ขณะเดียวกันผมได้ปูเรื่องประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เพื่อให้ท่านเห็นว่ามีสถานการณ์อะไรบ้างที่หล่อหลอมให้มีคนอย่างปูตินเกิดขึ้นมา...

มองจากภายนอก ธรรมะที่ปูตินยึดถือคือธรรมของประเทศ เพื่อสิ่งนี้แล้วเขาได้ทำลายคุณธรรมอย่างอื่นลงมากมาย

แต่หากติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ ท่านอาจพบว่าปูตินไม่ได้มีธรรมะอย่างที่คิด
เรายังได้เห็นการคอรัปชัน การเล่นพวกพ้อง การกดขี่กลุ่มรักร่วมเพศ การทุจริตเลือกตั้ง และการรวมอำนาจอย่างเผด็จการที่ปรากฏขึ้นในยุคของเขา

...มีหลายอย่างที่เขาทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ประเทศ...



...ธรรมะมาจากคำว่าธรรมชาติ...

ธรรมะของกวางคือการกินหญ้า
ธรรมะของเสือคือการล่าเหยื่อ


ทั้งนี้ไม่ใช่ว่ากวางดีหรือเสือเลว แต่ธรรมชาติดลบันดาลให้สัตว์ทั้งสองชนิดเป็นไปอย่างนั้น

เช่นกันคุณธรรมของเราเปลี่ยนไปตามลักษณะกายภาพ ตามสภาพแวดล้อมที่เราเติบโตมา หรือสิ่งที่เราพบเห็น
นั่นทำให้ "ธรรมะ" นั้นมีหลากหลายเหลือเกิน...



...สุดท้ายไม่ว่าธรรมะแบบไหนเป็นสีเทาเหมือนกับที่คนทุกคนไม่มีใครดีหรือเลวโดยสมบูรณ์...

กระนั้นก็ตามเป้าหมายที่ธรรมะนำมาอ้างอิงก็เป็นสิ่งที่มีอยู่...

เป้าหมายเหล่านั้นมักจะคล้ายคลึงกัน เช่น ความเจริญรุ่งเรือง ความสงบสุข หรือ สันติภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา...



แม้ความบิดเบี้ยวในโลก ทำให้หลายครั้ง “ธรรมะ” นั้นกลับเป็นสิ่งที่ขัดขวางเราจากการบรรลุจุดหมายปลายทางที่แท้...

แต่ผมสงสัยว่าถ้าเป้าหมายที่เราทุกคนแสวงหาเป็นของสิ่งเดียวกันจริง...

เราจะสามารถลืมธรรมะทั้งหลายที่ยึดถือ...

นั่งลงคุยกัน... แลกเปลี่ยนกัน... และช่วยเหลือกันเพื่อโลกที่ดีกว่าได้หรือไม่?


ขอบคุณข้อมูลจากเพจ : Pantip.com