วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

เชือด เชเชน: Part II The Farmer, the Sparrow, and the Hound

 เชือด เชเชน: Part II The Farmer, the Sparrow, and the Hound 

                
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นกกระจอกกับสุนัขแก่เป็นสหายสนิทกัน



วันหนึ่งขณะที่สุนัขกำลังนอนหลับอยู่บนถนน นกกระจอกบินไปพบชาวนาคนหนึ่ง กำลังขี่รถม้าบรรทุกไวน์มาอย่างรวดเร็ว นกกระจอกตกใจมาก จะปลุกสุนัขแก่ให้ตื่นก็คงไม่ทัน จึงบินไปบอกชาวนาว่า “ท่านที่รัก โปรดจงชะลอรถลงเถิด สุนัขแก่เพื่อนของฉันกำลังหลับอยู่ข้างหน้านี้”



แต่ชาวนาไม่สนใจ ยังตะบึงรถม้าแล่นทับสุนัขแก่จนขาดใจตาย!

นกกระจอกตกใจมาก จึงร้องว่า “อ้ายคนใจร้าย แกจะต้องฉิบหายจากการกระทำนี้”

ชาวนาได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ “โฮะโฮะ นกตัวจ้อยอย่างแกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้ เชิญเลย จะเอาไงก็เชิญ เดี๋ยวพ่อตบดิ้น”

นกกระจอกปล่อยให้ชาวนาเดินทางต่อไปอีกหน่อย พอเห็นเผลอจึงบินไปปลดจุกก๊อกถังไวน์บนรถม้า ทำให้ไวน์ไหลลงพื้นหมดสิ้น

ครั้นชาวนารู้ตัวก็ต้องอุทานว่า “ฉิบหายละ ไวน์หกหมดแล้ว!”

“ยังฉิบหายไม่พอ” นกกระจอกกล่าว จึงบินไปเกาะหัวม้าของชาวนา

ชาวนาโกรธมาก “แก ออกจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้นะ!” เขาร้อง จึงหยิบขวานขึ้นมาขว้างใส่นกกระจอก แต่นกกระจอกหลบทัน กลายเป็นขวานของชาวนาผันไปโดนม้าของเขาตาย



“ฉิบหายละ ม้าตาย!” ชาวนาอุทานอีก

“ยังฉิบหายไม่พอ” นกกระจอกกล่าว หลังจากนั้นเขาก็สร้างความพินาศให้แก่ชาวนาอีกหลายอย่าง ทั้งพาเพื่อนมาจิกกินข้าวสาลีในไร่จนหมด หรือบินไปกวนจนชาวนาเป็นโรคประสาททำลายข้าวของในบ้านตนเอง

จนสุดท้ายนกกระจอกล่อให้ภรรยาชาวนาเอาขวานจามสามีตนเองตาย จบการแก้แค้นโดยสมบูรณ์



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเพราะเห็นว่าเขาไม่มีทางสู้ แท้จริงแล้วคนอ่อนแอนั้นอาจสร้างความพินาศให้คนที่แข็งแรงกว่าอย่างคาดไม่ถึง”

จากนิทาน “สุนัข และ นกกระจอก” โดยพี่น้องตระกูลกริมม์

ครับ... ในกระทู้ที่แล้วท่านได้รับทราบถึงประวัติศาสตร์อันทารุณของชาวเชเชน



ท่านได้เห็นสงครามอันสูญเปล่า ที่พวกเขาถูกหลอกทำให้เข้าร่วม



ท่านได้เห็นการที่สตาลินเนรเทศ “คนทั้งประเทศ” ไปเผชิญชะตากรรมในดินแดนทุเรศกันดาร



ท่านได้เห็นพวกเขาถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม อย่างยากจะหาเรื่องราวใดมาเทียบเท่า



และในกระทู้นี้ ...ท่านจะได้เห็นการกลับมาของนกกระจอก...



...มันแค้น...



ท่านจะเห็นการแก้แค้น



ท่านจะเห็นการที่ “ชาวนา” ถูกฝูงนกที่เขาเคยรังแกรุมจิกตี



ท่านจะเห็นการล่มสลายของจักรวรรดิที่เคยมีอิทธิพลที่สุดในยุคร่วมสมัย!



...

...

...

...แต่ตามธรรมดาที่เรื่องราวในโลกนั้นไม่เคยจบลงอย่างแท้จริง...

นิทานเรื่องนี้ก็เช่นกัน... มันยังไม่จบ...

...ท่านจะได้เห็นว่ายังมีสุนัขล่าเนื้อที่ชาวนาเคยเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง...



...มันเป็นชนิดที่ดมกลิ่นเก่ง แกะรอยเก่ง...



...ยามที่มันพรางตัว ไม่มีใครอาจเห็นมันได้ ...ยามที่มันโจมตี มันจะขย้ำเหยื่อจนกว่าจะตาย



และทีละเล็กทีละน้อย... ท่านจะได้เห็นสุนัขล่าเนื้อตัวนั้น เปลี่ยนแปลงโลกที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน...



:::  :::  :::

การกลับมาของชาวเชเชน

เป็นเวลาสิบสามปีที่ชาวเชเชนถูกเนรเทศไปอยู่ ณ ดินแดนเอเชียกลาง และไซบีเรียที่หนาวเหน็บแห้งแล้ง

...จริงๆแล้วมันไม่ใช่การเนรเทศ...

...มันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์...

...มันโหดเหี้ยมกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั่วไป เพราะผู้กระทำประสงค์ให้เหยื่อแห้งตายไปช้าๆ โดยไม่ยอมปลิดชีวิตให้พ้นทุกข์ทีเดียว

พวกรัสเซียเผาหนังสือ ยึดสมบัติ ทำลายโบราณสถานสำคัญของชาวเชเชนแล้วเอาเศษอิฐหินไปปูถนน

...ภายใต้การจัดการของทรราชอย่างสตาลิน “ประชาชาติทั้งประชาชาติ” ก็ทำท่าจะถูกลบออกไปได้จริงๆ...


เวลาสตาลินจะกำจัดใคร เขาไม่ได้กำจัดแค่ตัวคนเท่านั้น หากกำจัดแม้แต่ความทรงจำว่าเคยมีคนๆนี้อยู่ ยุคของสตาลินเป็นยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูก “ลบ” ออกได้

คล้ายบาปกรรมตามทัน นับแต่สตาลินเนรเทศชาวเชเชนและสังหารผู้คนมากมายด้วยนโยบายสุดโต่ง สุขภาพของเขาก็เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ

วันหนึ่งในปี 1953 ทหารยามรู้สึกแปลกใจที่ท่านผู้นำไม่ออกมาจากห้องนอนเสียทีแต่ก็ไม่กล้ารบกวน ครั้นผ่านไปนานเข้าจึงมีการไปตรวจดูพบสตาลินล้มอยู่กับพื้นห้อง

ทรราชผู้ชั่วร้ายนอนจมกองฉี่ตัวเองที่ปล่อยราดเลอะเทอะอย่างน่าอนาถ สตาลินส่งเสียงครวญครางดังครืดคราดอยู่เรื่อยๆ บริวารที่เข้าไปดูไม่อาจทราบความหมาย แต่ทราบว่ากำลังทรมานมาก

คณะแพทย์ฝีมือดีที่สุดรีบเข้ามาแก้ไขอาการของเขา ...แต่ก็ไร้ผล...
สตาลินทรมานอยู่ถึงสี่วันจึงขาดใจตาย วันที่ 5 มีนาคมปีนั้น รัฐบาลโซเวียตก็ประกาศว่า “บัดนี้ท่านสตาลิน ...ท่านผู้ฉลาดเฉลียว ผู้เป็นครูของชาวโซเวียตทั้งปวง ผู้ดำเนินรอยตามแนวทางอันยอดเยี่ยมของท่านเลนิน ...หัวใจของท่านได้หยุดเต้นลงแล้ว...”


สตาลินตาย

สตาลินจากไปอย่างกระทันหัน โดยไม่มีการแต่งตั้งทายาทการเมือง ในที่สุดนิกิตา ครุสชอฟก็ได้รับการเลือกเป็นเลขาธิการคนที่ 1 ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตแทน (โซเวียตแปลว่า “สภา” หมายถึงเครือประเทศคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซียยุคนั้น)


ครุสชอฟ

ครุสชอฟตระหนักถึงบาดแผลของประเทศที่เกิดขึ้นในยุคสตาลินเป็นอย่างดีจึงพยายามแก้ไขผ่อนปรนนโยบายหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการอนุญาตให้ชาวคอเคซัสที่ถูกสตาลินเนรเทศได้กลับบ้าน

การณ์นี้เหมือนช่วยชาวเชเชนจากขุมนรก ชาวเชเชนที่ยังเหลือรอดต่างยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งด้วยพ้นจากการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

เพื่อสะท้อนให้เห็นอารมณ์ของชาวเชเชนในช่วงเวลาดังกล่าว ผมจะขอยกบทกวีชื่อ “วันมืด” ของกวีเชเชนชื่อ มูซา เกชาเยฟ ซึ่งต่อมาถูกนำไปทำเป็นเพลงป๊อบมีชื่อเสียง

ผมได้แปลไว้ดังนี้ครับ:

วันมืด

“มีเรื่องหนึ่ง ซึ่งขุนเขา เล่าให้ฉัน
บอกถึงวัน อันอาภัพ อับแสงสี
วันที่ความมืดสุม คลุมปฐพี
วันที่ผืนดินนี้ แตกทลาย

เราถูกขู่ ขับไส ไล่เนรเทศ
ไร้สาเหตุ สุดหาใคร เข้าใจได้
มันต้อนเรา ยัดรถไฟ อย่างวัวควาย
ฆ่าคนตาย เผาบ้าน ผลาญแดนดิน

มันเอาเรา ทิ้งกลาง หิมะขาว
แสนเหน็บหนาว ยากแค้น ขลาดแคลนสิ้น
เราหวาดกลัว และหวาดกลัว จนชาชิน
ไอ้สตาลิน! ขอมืงไหม้ ในโลกันต์

และแล้ว วันกลับบ้าน ก็มาถึง
ฉันทักทาย ชายคนหนึ่ง เป็นเพื่อนฉัน
“เอ๊ะ เป้ใบนั้นใส่อะไรกัน?”
เพื่อนคนนั้น ยิ้มแห้งๆ “อย่าแกล้งเดา...”

“...ฉันไม่อยาก ให้แม่ ต้องนอนหนาว
เมื่อตอนเข้า เก็บมาได้ เพียงขี้เถ้า
เอาอังคาร ท่านกลับ ‘บ้าน’ ของเรา
ให้พักบนภูเขา เหย้าเรือนตาย”

...รถไฟแล่นถึง ‘บ้าน’ เมื่อยามเย็น
พวกเราเห็นทิวเขาก็ร้องไห้
ชายชราคนหนึ่งถึงทรุดกาย
จูบแผ่นดิน กลิ้งไป ด้วยใจสะเทือน”

หลังจากวันนั้นมีคำพูดในหมู่ชาวเชเชนว่า

“...เราจะต้องอยู่รอด เราจะไม่ลืม และเราจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว...”


การจลาจลแดง

ปี 1957 เมื่อชาวเชเชนกลับถึงบ้าน พวกเขากลับต้องพบว่า “บ้าน” นั้นถูกยึดครองโดยคนเผ่าอื่น

ยุคของสตาลินมีการให้ชาวรัสเซีย ออสเซเตีย จอร์เจีย ดาเกสถาน และผู้ลี้ภัยสงครามเผ่าอื่นๆที่สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลเข้ามาจับจองบ้านเรือนร้างในเชชเนีย ในจำนวนนี้มีเพียงชาวยิว และชาวเติร์กเมสเคเตียนที่ไม่ยอมเข้าไปแย่งบ้านร้างของชาวเชเชนแต่ตั้งบ้านเรือนเอง เพราะยังมีความเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์เผ่านี้บ้าง

มีบางเขตที่ออสเซเตีย และดาเกสถานได้ไปแล้วไม่ยอมคืนให้เชชเนีย กับอินกุสเชเตีย บ้างก็เพราะถือเป็นรางวัลอันชอบธรรมที่ได้มาจากการภักดีต่อโซเวียต บ้างก็เพราะอยู่มานานจนนับเป็นบ้านแล้ว เขตที่สำคัญเช่นเขตปรีโอรอดนีของอินกุชซึ่งล้อมรอบกรุงวลาดิคาฟคาซเมืองหลวงของออสเซเตียทำให้ไม่ยอมคืนเด็ดขาด


สีเขียวคือเชชเนีย สีส้มคืออินกุสเชเตีย สีแดงคือดินแดนที่ถูกเฉือนไป

โซเวียตไม่รู้จะเรียก “รางวัล” คืนยังไง เลยมอบเขตเนาร์สกี และเชลคอฟสกีที่เคยเป็นของพวกคอสแซคให้ชาวเชเชนเป็นการชดเชยปลอบขวัญ (พวกคอสแซคถือข้างนายพลเดนิกินในสมัยสงครามกลางเมืองรัสเซีย พอรบแพ้จึงถูกกดขี่มาตลอด ย่อมไม่มีปากเสียงอยู่แล้ว)


เขตเนาร์สกี และเชลคอฟสกี

จริงๆเขตเนาร์สกีและเชลคอฟสกีที่ได้มานั้นเป็นพื้นที่ที่ดี เพราะเป็นแดนที่ราบซึ่งทำการเพาะปลูกได้มากกว่าดินแดนภูเขาทางใต้ แต่ชาวเชเชนและอินกุชนั้นถือว่า “มาตุภูมิเป็นของสำคัญ” จึงมีความพยายามอพยพเข้าไปในเขตเก่าทำให้มีปัญหากับทั้งชาวออสเซเตีย  ดาเกสถาน (ซึ่งเป็นฝ่ายได้ดินแดนมา) และคอสแซค (ซึ่งเป็นฝ่ายถูกแย่งดินแดนไป)

ในเชชเนียเอง ชาวเชเชนยังมีปัญหากับชาวรัสเซียที่อพยพมาอยู่ใหม่ เนื่องเพราะชาวรัสเซียเหล่านั้นครอบครองงานในหน่วยราชการ การศึกษา สาธารณสุข น้ำมัน และสิ่งสำคัญอื่นๆจนหมดสิ้น ส่วนเผ่าพื้นเมืองเดิมต้องทำงานใช้แรงงานที่ได้เงินเดือนต่ำกว่า หรือไม่ก็ว่างงานไปเลย

และความที่ตอนนั้นไม่มีโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาเชเชนแม้แต่แห่งเดียวในเชชเนีย เป็นเหตุให้ชาวเชเชนซึ่งไม่เข้าใจภาษารัสเซียยิ่งขาดโอกาสการเรียน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยอัตโนมัติ

การตกเป็นประชากรชั้นสองในประเทศของตัวเอง บีบให้ชาวเชเชนจำนวนมากตั้งตัวเป็นอั้งยี่ซ่องโจรเพื่อปกป้องพวกพ้องในกลุ่มจากการรังแกของอำนาจรัฐ มาเฟียเหล่านี้มักก่ออาชญากรรมกับชาวรัสเซียหรือตีกันเอง หาเงินมาหล่อเลี้ยงกลุ่ม

ความขัดแย้งทางเชื้อชาติเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ พวกรัสเซียมองเชเชนว่าเป็นโจรผู้ร้าย หยาบคาย ด้อยการศึกษา พวกเชเชนมองรัสเซียว่าเป็นนักล่าอาณานิคมผู้กดขี่ ยังไม่นับปัญหาการแย่งงานแย่งที่อยู่อาศัยซึ่งมีขึ้นทั่วไป

ปี 1958 เกิดเหตุกะลาสีรัสเซียคนหนึ่งลวนลามผู้หญิงชาวอินกุช แล้วถูกคู่หมั้นของเธอฆ่าตาย ชาวรัสเซียโกรธแค้นมาก จึงรวมตัวกันนับหมื่นคนก่อม๊อบโพกผ้าแดงเป็นสัญลักษณ์ ออกเรียกร้องให้รัฐบาลโซเวียตทำดังนี้:
1.    เปลี่ยนชื่อเชชเนียจากตอนนั้นที่ชื่อ “เขตปกครองตนเองเชเชนอินกุช” เป็น “จังหวัดกรอสนี”
2.    จำกัดสิทธิพิเศษใดๆที่ชาวเชเชนอินกุชมีในดินแดนนี้ (จริงๆไม่ค่อยมี)
3.    ย้ายพวกคอมโมโซล หรือเยาวชนคอมมิวนิสต์มาช่วยพัฒนาเขตนี้ให้มากขึ้น
4.    ข้อสุดท้าย ขนชาวเชเชนอินกุชกลับไปไซบีเรียให้หมด ให้เหลือชาวเชเชนอินกุชในจังหวัดกรอสนีได้ไม่เกิน 10% ของประชากรเท่านั้น (ไอ้พวกใจดำ! >__< )


คอมโมโซล

เมื่อรัฐบาลโซเวียตไม่ตอบรับคำเรียกร้อง ม๊อบรัสเซียก็ออกไล่ตีชาวเชเชน แล้วบุกเข้าพังสถานที่ราชการเช่นที่ทำการไปรษณีย์ สถานีรถไฟ จนในที่สุดรัฐบาลทนไม่ไหวต้องให้ตำรวจออกปราบ เหตุการณ์จึงสงบลง

แม้เป็นเรื่องใหญ่โตลุกลามถึงขั้นนี้ โซเวียตก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาเชื้อชาติในเชชเนียอย่างจริงจัง ชาวเชเชนอินกุชขาดโอกาส ว่างงาน ไม่มีอะไรทำก็ปั๊มลูก จนมีประชากรเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งก่อปัญหาสังคม ก่อความเกลียดชังระหว่างชนเผ่ามากกว่าเดิม...

สงครามเย็น และการล่มสลายของโซเวียต

ช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 เป็นเวลาที่โลกเข้าสู่ภาวะสงครามเย็น (1947-1991) หรือภาวะที่โลกแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนับถือลัทธิประชาธิปไตย-ทุนนิยม นำโดยอเมริกา อีกฝ่ายนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ นำโดยโซเวียต

อเมริกาตั้งกลุ่มนาโต้ โดยทำสนธิสัญญากับประเทศพันธมิตรระบุว่าหากประเทศในกลุ่มแห่งใดถูกโจมตี ประเทศพันธมิตรทั้งหมดจะรวมกำลังกันช่วยเหลือ โซเวียตตอบโต้โดยทำสนธิสัญญาวอร์ซอซึ่งมีเนื้อหาคล้ายคลึงกันกับพันธมิตรของตน


สีน้ำเงินคือนาโต้ สีแดงคือวอร์ซอ

และด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างก็ทราบว่าหากทำสงครามกันตรงๆจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงแน่ จึงใช้วิธีเผยแพร่ลัทธิของตนไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก และใช้ประเทศเหล่านั้นเป็นตัวแทนในการทำสงครามเพื่อบ่อนทำลายกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นมากมาย เช่น:

สงครามคิวบา: ฟิเดลคาสโตรผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจคิวบาได้ ทำให้อเมริกาได้ประเทศคอมมิวนิสต์เป็นเพื่อนบ้าน



สงครามอัฟกานิสถาน: อเมริกาสนับสนุนกลุ่มนักรบมูจาฮิดีนให้ขับไล่รัฐบาลที่เป็นฝ่ายโซเวียตออกไปสำเร็จ



สงครามเกาหลี: การแย่งชิงของสองขั้วอำนาจทำให้เกาหลีแตกเป็นสองฝ่ายจนปัจจุบัน



สงครามเวียดนาม: ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือนำโดยโฮจิมินห์ รบชนะฝ่ายเวียดนามใต้ที่หนุนหลังโดยอเมริกา



จีนแตกกับโซเวียต: ความที่จีนใหญ่เกินกว่าจะเป็นบริวารของโซเวียตจึงแตกออกมาสร้างขั้วของตนเอง ทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพียงพอ



การช่วงชิง “อวกาศ”: อเมริกากับโซเวียตแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ จบลงด้วยการที่โซเวียตประสบความสำเร็จในการส่งนักบินอวกาศคนแรกออกไปนอกโลก และอเมริกาประสบความสำเร็จในการส่งซีรีย์ของยานอพอลโลไปเหยียบดวงจันทร์



การเป็นอมตะของเช กูวารา: เช กูวารานักปฏิวัติชาวอาเจนตินาซึ่งอยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถูกสังหารในการต่อสู้ที่โบลิเวีย และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่



การเป็นอมตะของเอลวิส เพรสลี: เอลวิส เพรสลีพัฒนาเพลงรอค แอนด์ โรลจนมีชื่อเสียง และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของคนหนุ่มสาว



...ช่วงเวลาเพียงสี่สิบปีหลังสงครามโลกนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดอะไรขึ้นเยอะเหลือเกิน มีเรื่องราวอีกมากมาย มียอดคนอีกหลายคนของยุคนี้ที่ได้มาปฏิวัติทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

ข้างฝ่ายโซเวียตแม้จะชนะในสงครามครั้งสำคัญหลายครั้ง แต่กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ซึ่งเน้นให้คนช่วยกันทำงานเพื่อพัฒนาสังคมนั้นโดยมีแรงกระตุ้นคือความรักสังคมนั้น ...มันทำให้ประเทศพัฒนาได้ช้านัก...

...เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เน้นให้คนทำงานเพื่อตัวเอง โดยมีแรงกระตุ้นคือกิเลสโลภโมโทสันอันเป็นสันดานดิบ!

พอเศรษฐกิจพัฒนาช้า ผู้คนยากจน ประเทศบริวารฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ก็เริ่มเอาใจออกห่าง ผู้นำโซเวียตในช่วงท้ายชื่อนายมิฮาอิล กอบาชอฟตระหนักว่าการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องเลียนแบบข้อดีของฝ่ายโลกเสรี เขาจึงได้ออกนโยบายชื่อกลาสนอสต์ เปเรสตรอยกาขึ้นมาเพื่อปฏิรูปประเทศ


นายมิฮาอิล กอบาชอฟ


เกาะดูรัก เอเพรลในรัสเซีย กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เนื่องจากมีลักษณะคล้ายปานบนหัวกอบาชอฟ


ภาพประวัติศาสตร์ กอบาชอฟเต้นระบำฉลองกับแซนกีฟ วีรบุรุษนักมวยปล้ำชาวรัสเซีย ที่วัดพระแก้ว หลังจากแซนกีฟทำการปราบผู้ก่อการร้ายชาวไทยชื่อนายเวก ไม่ทราบนามสกุล [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

“กลาสนอสต์” คือการเปิดเสรีทางความคิด ลดอำนาจองค์กรรัฐในการควบคุมสื่อ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิในการแสดงออกวิพากษ์วิจารณ์

“เปเรสตรอยกา” คือการทำให้ระบบเศรษฐกิจมีเสรีมากขึ้น ลดการควบคุมจากส่วนกลาง เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถครอบครองธุรกิจ

...ผลปรากฏว่ากอบาชอฟประสบความสำเร็จในการปฏิรูปทางการเมือง เขาทำให้ผู้คนมีความตื่นตัวในการเคลื่อนไหวเพื่อสังคม หันมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาการปกครองมากขึ้น

...แต่กอบาชอฟกลับประสบความล้มเหลวในการปฏิรูปเศรษฐกิจ เนื่องจากแม้มีการเปิดเสรีมากขึ้น แต่ภาครัฐก็ยังตรึงราคาตลาด ตรึงค่าเงิน และไม่เปิดโอกาสให้เอกชนเข้าดูแลกิจการสำคัญๆ กลายเป็นว่า “ยาเปเรสตรอยกา” แรงไม่พอแก้ปัญหาได้ (กรณีดังกล่าวแตกต่างกับจีนในช่วงใกล้เคียงกัน โดยจีนเปิดเขตเศรษฐกิจให้ต่างประเทศมาลงทุน และเปิดเสรีมากกว่าโซเวียต “ยา” ของจีนจึงแรงพอที่จะปฏิรูปประเทศ ทำให้จีนเจริญรุ่งเรือง โตวันโตคืนอย่างทุกวันนี้)


ภาพบนแสตมป์แสดงนโยบายเปเรสตรอยกา

เมื่อการเมืองเจริญขึ้นแต่เศรษฐกิจยังย่ำแย่ ผู้คนเดือดร้อนก็เริ่มก่นด่ารัฐบาล เรียกร้องหาเสรีภาพ ความเกลียดชังระหว่างชนชาติศาสนาที่เมื่อก่อนถูกกดเอาไว้จากการปกครองที่เข้มงวดก็แตกปะทุขึ้นพร้อมกัน

เกิดเหตุชาวอาเซอร์ไบจันรบชาวอาร์เมเนีย ชาวลิทัวเนียประกาศเอกราช ประเทศอื่นๆพากันกระด้างกระเดื่อง กอบาชอฟตกใจก็สั่งให้ทหารเข้าปราบปรามอย่างเด็ดขาด ...แต่สายไปแล้ว ฝูงชนที่ถูกกดขี่มานาน พอรู้รสชาติของอิสรภาพก็ไม่ยอมให้ใครมากดอีก

...มีการต่อสู้ ต่อต้าน ประท้วง ปฏิวัติ ขึ้นทั่วสภาพโซเวียต เป็นความสับสนวุ่นวายสุดที่รัฐบาลจะควบคุมได้...

เดือนสิงหาคมปี 1991 ในที่สุดกลุ่มคอมมิวนิสต์สายอนุรักษ์นิยมในรัสเซียก็ทนไม่ไหว จึงรวมกำลังกันก่อการปฏิวัติจับกอบาชอฟขังไว้ แล้วเอากองทหารบุกเข้ายึดครองกรุงมอสโคว์เมืองหลวง ปิดกั้นสื่อทั้งหมด

พวกเขารุกไล่จนกอบาชอฟหลุดปากว่า “เมิงอยากทำอะไรก็ทำ!” และถือว่านั่นเป็นการยกอำนาจให้แล้ว จึงประกาศด้วยคำสวยหรูซึ่งถอดความหมายได้ว่า “เราจะไม่ยอมให้โซเวียตต้องแตกสลายไปเพราะนโยบายเสรีของกอบาชอฟ เราจะใช้กำลังอันเด็ดขาดกดขี่คนชาติต่างๆในสหภาพไว้เหมือนเดิม!”

...สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ... ขณะที่ทุกอย่างดูสิ้นหวังนั้นเอง ก็มีชายผู้หนึ่งผงาดขึ้นมากอบกู้ทุกอย่าง

นักการเมืองคู่แข่งของกอบาชอฟ ชื่อนายบอริส เยลซินได้นำพรรคพวกไปป้องกันอาคารรัฐสภาไว้ และส่งใบปลิวไปยังประชาชน เรียกร้องให้ออกมาต่อสู้ปกป้องประเทศจากคณะปฏิวัติ


นายบอริส เยลซิน

ประชาชนมอสโคว์มีใจรักชาติบ้านเมืองก็พากันออกมาล้อมอาคารรัฐสภา พร้อมหาสิ่งกีดขวางมาป้องกันไม่ให้คณะปฏิวัติเข้าไปได้

ถึงขั้นนี้พวกคณะปฏิวัติเกิดความลังเล แตกคอกันเอง ฝ่ายหัวหน้าสั่งให้โจมตีอาคารรัฐบาล ฝ่ายปฏิบัติการไม่เชื่อฟัง ในที่สุดทหารหลายส่วนถอยกลับกรมกอง หรือไม่ก็เข้ากับพวกประชาชน ทำให้การปฏิวัติล้มเหลว

บอริส เยลซินกลายเป็นวีรบุรุษ เขาช่วยรักษารัฐบาลไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ทำลายเครดิตของกอบาชอฟจนหมดสิ้น


เยลซินนำประชาชนต่อต้านการปฏิวัติ ต่อมาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซีย หลังยุคโซเวียต

พอกอบาชอฟขาดอำนาจ ประเทศในเครือโซเวียตที่เคยถูกกดขี่ไว้จึงประกาศเอกราชตามๆกันอย่างไม่มีใครควบคุมได้
ในที่สุดกอบาชอฟก็ปลงตก วันคริสต์มาสปี 1991 เพียงสี่เดือนหลังจากการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ล้มเหลว เขาได้ประกาศลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี

...บัดนั้นสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นหนึ่งในจักรวรรดิอันเข้มแข็งที่สุดในโลกสมัยใหม่ ก็ได้ล่มสลายลงพร้อมกัน...


ดูดาเยฟครองเมือง

หลังสงครามใหญ่ โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว
มีการส่งหมาไปอวกาศ จนลิงไปอวกาศ จนมนุษย์ไปดวงจันทร์
มีการคิดค้นคอมพิวเตอร์ จนมีการคิดค้นอินเตอร์เน็ต
มีเครื่องแฟมิคอม จนมีเครื่องซุปเปอร์แฟมิคอม
เชกูวาราดัง จนเชกูวาราตาย
เอลวิสดัง จนเอลวิสตาย
ไมเคิลแจคสันตัวดำ จนไมเคิลแจคสันตัวขาว
ญี่ปุ่นแย่ จนญี่ปุ่นเจริญ จนญี่ปุ่นกลับมาแย่อีกรอบ
จีนเป็นมิตรกับโซเวียต จนแตกกับโซเวียต จนเป็นมิตรกับอเมริกาแทน
สหภาพโซเวียตเกิดขึ้นจนล่มสลาย...

...สิ่งที่ชาวเชเชนทำฆ่าเวลาในระหว่างนั้นคือการ “ปั๊มลูก”...

...โอเค มันก็ไม่ใช่ปั๊มลูกอย่างเดียว แต่การปั้มลูกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชาติเชเชนที่ล้มหายตายจากไปมากกับมากในสงครามโลก และการเนรเทศของสตาลินมีกำลังกลับขึ้นมาใหม่...

...หากไม่นับเรื่องคุณภาพประชากร บัดนี้เชชเนียมีชาวเชเชนมากกว่าชาวรัสเซียมากแล้ว ขณะเดียวกันชาวอินกุชก็ดำเนินแผนการทวงพื้นที่คืนโดยพากันอพยพเข้าไปในเขตปรีโกรอดนีที่ถูกออสเซเตียยึด พวกเขากัดฟันซื้อบ้านของตัวเองคืนจากชาวออสเซเตีย (ทั้งๆที่จนกว่ามาก) แต่ละครอบครัวก็พากันปั๊มลูกๆ จนประสบความสำเร็จในการเป็นประชากรส่วนใหญ่ของปรีโกรอดนี...

ขณะนั้นเกิดผู้กล้าในหมู่ชาวเชเชนขึ้น มีนามว่าดจอร์คฮา ดูดาเยฟ


ดจอร์คฮา ดูดาเยฟ

ดูดาเยฟเป็นชาวเชเชนซึ่งเกิดก่อนการเนรเทศของสตาลินไม่กี่วัน ครอบครัวของเขาโชคดีหน่อยที่ถูกจับไปคาซักสถานแทนที่จะเป็นไซบีเรีย

ความที่เป็นคนขยันหมั่นเพียร ดูดาเยฟตั้งใจเรียนจนสามารถเข้าโรงเรียนการบินที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย เขาจบออกมาเป็นทหารอากาศ และแต่งงานกับผู้หญิงรัสเซียซึ่งเป็นลูกสาวข้าราชการ เขาร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน สร้างผลงานมากมาย ได้เหรียญกล้าหาญ และไต่เต้าจนได้เป็นพลตรี เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองกำลังยุทธศาสตร์ทางอากาศนับเป็นชาวเชเชนคนแรกที่มีตำแหน่งในกองทัพโซเวียตสูงขนาดนี้


ครอบครัวดูดาเยฟ

แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ แต่ดูดาเยฟก็ไม่เคยลืมบ้านเกิด เขากลับบ้านในปี 1990 และได้พบบ้านเมืองเชชเนียในสภาพค่อนข้างป่าเถื่อน คือชาวเชเชนขณะนั้นยากจนขาดโอกาสขาดการศึกษาก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มมีเจ้าพ่อมาเฟียคุ้มครอง ก่ออาชญากรรมท้าทายอำนาจรัฐนานาประการ

ดูดาเยฟโกรธเคืองที่รัสเซียทำให้ประเทศของเขาตกอยู่ในสภาวะทุเรศทุรังเพียงนี้ ถึงขนาดคิดอยากจะปฏิวัติประกาศเอกราชดังเช่นประเทศในเครือโซเวียตอื่นๆในยุคนั้น

แต่ลำพังตัวเขาคนเดียวจะทำอะไรได้เล่า? ดูดาเยฟตระหนักว่าการที่เขาจะพลิกฟื้นประเทศได้นั้นจำต้องได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังที่เข้มแข็ง ซึ่งในเชชเนียตอนนั้นกองกำลังอย่างที่ว่าก็มีแต่พวกเจ้าพ่อ

เขาคิดถี่ถ้วนแล้วจึงเข้าหาพวกเจ้าพ่อกลุ่มต่างๆขอให้ช่วยเหลือ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

พวกเจ้าพ่อจัดงานใหญ่โตหาเสียงให้ดูดาเยฟ มีการแจกเงินแจกทองคนมากมาย ล้มวัวล้มแพะทำอาหารเลี้ยง ทั้งยังจัดระบำซิกร์ดึงดูดให้คนเข้าร่วม


ระบำซิกร์เป็นสิ่งที่ชาวเชเชนได้มาจากอิสลามซูฟีย์ มีการสันนิษฐานว่าซิกร์กับลิเกเป็นคำเดียวกัน (มันเพี้ยนไปแบบนี้นะครับ ซิกร์ เป็นภาษาอาหรับ อ่านสำเนียงชาวบ้านว่า ซิเกร์ > เพี้ยนเป็น ดิเกร์ ภาษาเปอร์เซีย > เพี้ยนเป็น ลิเก ภาษาไทย)

ดูดาเยฟใช้พรสวรรค์ในการโน้มน้าวคน ทำการปราศรัยปลุกใจให้ชาวเชเชนเกิดสำนึกรักชาติ ย้ำเตือนว่าทางเดียวที่พวกเขาจะลืมตาอ้าปากได้ คือการปลดแอกจากรัสเซีย ชาวเชเชนถูกกดขี่ข่มเหงมานานย่อมมีอารมณ์ร่วม พากันเข้าด้วยดูดาเยฟมากมาย

นับวันกองกำลังของดูดาเยฟยิ่งแกร่งขึ้น นับวันฝ่ายรัฐบาลโซเวียตยิ่งอ่อนแอลง ภายหลังการปฏิวัติของกลุ่มอนุรักษ์นิยมคอมมิวนิสต์ในเดือนสิงหาคม 1991 ดูดาเยฟก็ทราบว่านี่เป็นจังหวะอันสุกงอมที่เขาจะก่อการใหญ่แล้ว


ดูดาเยฟยึดอำนาจ

เดือนกันยายนปีเดียวกัน กลุ่มของดูดาเยฟบุกเข้าที่ทำการของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต จับหัวหน้าพรรคชาวรัสเซียชื่อนายวิทาลีอิ คูทเซนโกฆ่าตาย และทำร้ายพวกรัฐบาลเก่าบาดเจ็บหนักหลายคน

ตุลาคม 1991 มีการจัดการเลือกตั้งในเชชเนีย มีการแทรกแซงอย่างมาก แต่สรุปดูดาเยฟเป็นฝ่ายชนะ เขาประกาศเอกราช ตั้งตัวเป็นประธานาธิบดีผู้เป็นตัวแทนแห่งชาวเชเชนอินกุชแต่เพียงผู้เดียว ตั้งเป็นประเทศชื่อ “สาธารณรัฐอิชเคเรีย”


ธงชาติอิชเคเรีย


ตราแผ่นดินเป็นรูปสุนัขป่าซึ่งเป็นเครื่องหมายของความรักอิสรภาพ

วีรชนบนทางแคบ

หนังเรื่องแบทแมน เดอะ ดาร์คไนท์มีคำกล่าวว่า “คุณจะตายอย่างวีรบุรุษ หรืออยู่รอดมาจนพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ร้าย...”



...คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงวีรบุรุษก็เป็นเพียงมนุษย์เช่นเราท่าน...

จริงอยู่มันเป็นเรื่องยากที่คนๆหนึ่งอาจสละกาย สละเลือด หาญกล้าลุกขึ้นสู้ เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆเพื่อความถูกต้อง

...แต่เมื่อได้คลุกคลีกับเส้นทางการช่วงชิงอันสกปรกแล้ว การดำรงตนให้อยู่รอดโดยสอดคล้องกับครรลองคลองธรรมกลับยากยิ่งกว่า...

ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นวีรบุรุษไม่น้อยที่พ่ายแพ้กลายเป็นคนชั่วช้า...

ท่านครับ... ท่านเป็นอาจนับเป็นคนโชคดี...

...เพราะในเรื่องนี้ ท่านจะได้เห็นวีรบุรุษเช่นที่ว่าถึงสองคน...

...  ...  ...

เรื่องของวีรบุรุษคนที่หนึ่ง

ภายหลังดูดาเยฟยึดอำนาจ บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย มาเฟียกลุ่มต่างๆก็ผันตัวเองเป็นขุนศึกมีกองกำลังของตนเอง
เกิดความชุลมุนวุ่นวาย พวกมาเฟียออกทำอาชกรรมปล้นชิงเข่นฆ่าชาวรัสเซียและคนต่างชาติอื่นๆ จนคนเหล่านั้นทนอยู่ในเชชเนียต่อไปไม่ได้ ต้องพากันอพยพหลบหนี

...ชนเพียงสองกลุ่มที่ได้รับการละเว้นในครั้งนี้คือชาวยิว และชาวเติร์กเมสเคเตียน ที่ไม่ได้แย่งบ้านชาวเชเชนตอนที่มีโอกาสจะทำได้...

...ข้างฝ่ายดูดาเยฟนั้นแม้พูดเก่งมีความเป็นผู้นำสูง แต่พอมาปกครองประเทศจริงๆ เขากลับต้องสะดุด

ทั้งนี้เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เขาขึ้นไม่เคยมีเวลาเตรียมความพร้อม ไม่ได้วางแผนว่ายึดอำนาจแล้วจะทำอะไรต่อ ไม่ตระหนักไม่เตรียมการอะไรสักอย่าง

...คนรอบข้างที่เป็นพวกมาเฟียก็ไม่มีความรู้ความสามารถ แต่มีสันดานชั่วร้าย พอได้อำนาจต่างก็กรูเข้าทำการทุจริต ตักตวงประโยชน์จากประเทศ โกงกินกันสะบั้นหั่นแหลก ...ดูดาเยฟไม่อาจว่าอย่างไรได้


เวลาไม่กี่ปี เปลี่ยนดูดาเยฟจากวีรบุรุษกู้ชาติ ไปเป็นคนไร้ความสามารถผู้บั่นทอนประเทศ

นอกจากนั้น การจับข้าหลวงรัสเซียฆ่า ขับไล่คนรัสเซียออกจากประเทศยังกลายเป็นการสร้างความเสียหายใหญ่หลวง เพราะมันคือการกำจัดชนชั้นกลางเกือบทั้งหมด ทำให้เชชเนียขาดแคลนบุคลากร แพทย์ ครู วิศวกร สถาปนิก ฯลฯ

จากที่น้ำมันเคยทำให้เชชเนียมีเศรษฐกิจดีระดับกลางๆ พอไม่มีชาวรัสเซียมาบริหารทุกอย่างก็พังพินาศอย่างรวดเร็ว

...มีโรงงานก็ไม่มีใครคุมงาน มีโรงพยาบาลก็ไม่มีหมอ ...อัตราว่างงานพุ่งสูง ชาวบ้านอดอยากเดือดร้อนยิ่งกว่ายุคโซเวียตเสียอีก...

ดูดาเยฟทำอะไรไม่เป็นก็เดินสายไปพูดปลุกใจให้รักชาติที่โน่นที่นี่ แต่ยิ่งพูดก็แสดงอาการเพี้ยนให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเขาเคยบอกว่าชาวเชเชนเรียกตัวเองว่า “นอคชิ” หมายถึงเป็นลูกหลานของโนอา (ทั้งที่มันคนละรากศัพท์กัน) หรือพอเกิดแผ่นดินไหวที่อาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจันก็ยังบอกว่าแผ่นดินไหวนั้นเป็นอาวุธใหม่ที่รัสเซียใช้โจมตีเพื่อนบ้าน

ประชาชนที่เคยสนับสนุนดูดาเยฟพอต้องพบกับความยากจน บวกกับเห็นดูดาเยฟโชว์โง่บ่อยๆก็เริ่มเสื่อมความนิยม เกิดมีขุนศึกกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยต่อต้านดูดาเยฟขึ้นมากมาย

เรื่องของวีรบุรุษคนที่สอง

ขณะที่แผ่นดินเชชเนียวิปริตไปเพียงนี้ รัสเซียเองก็ประสบปัญหาใกล้เคียงกัน...

กล่าวคือหลังจากกอบาชอฟเสียอำนาจ เยลซินก็ขึ้นปกครองรัสเซียแทน
เขาสัญญากับประชาชนว่าจะนำพารัสเซียให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนครั้งที่เคยฟาดกับอเมริกาอย่างสูสี

ในการนี้เยลซินเชื่อว่า “ทุนนิยม” เป็นยาวิเศษที่จะให้คำตอบแก่รัสเซียได้ เขาตำหนิที่กอบาชอฟไม่ยอมใช้ทุนนิยมถึงขีดสุด ทำให้แก้วิกฤตเศรษฐกิจไม่สำเร็จ

ความคิดดังกล่าวทำให้เยลซินดำเนินการปฏิรูปรัสเซียแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน กำจัดทุกอย่างที่เป็นระบบเก่าออกให้หมด เปลี่ยนประเทศเป็นทุนนิยมเต็มรูปแบบ เปิดเสรีราคา แปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นของเอกชนอย่างฉับพลันรุนแรง ...ประเทศคอมมิวนิสต์แม่แบบอย่างรัสเซีย ก็สูญเสียความเป็นคอมมิวนิสต์ไปในยุคนี้...

จะเป็นด้วยความตั้งใจของเยลซินหรือไม่ก็ตาม การปฏิรูปของเขาได้ทำให้ภูตผีปีศาจในรัสเซียเปลี่ยนรูปร่างไป...

...คือเปลี่ยนจากเผด็จการโหดเหี้ยมเป็นนายทุนเลือดเย็น...


ดวงวิญญาณของเลนินและมาร์คซ์คงต้องร่ำร้องจากปรโลกหากทราบว่าเพียงไม่กี่สิบปีหลังปฏิวัติประเทศสำเร็จ พวกชนชั้นนายทุนที่เขาตั้งใจกำจัดกลับเติบโตงอกงามขึ้นมาอีกครั้งโดยความยินยอมพร้อมใจของชาวรัสเซียเอง

นายทุนเหล่านี้เข้าประจบสอพลอเยลซิน ใช้เป็นทางผ่านเข้ากอบโกยรัฐวิสาหกิจของประเทศ และการโกงกินอย่างมโหฬารทำให้แผ่นดินรัสเซียเป็นทุรยศ ประเทศตกต่ำย่ำแย่ยิ่งกว่าสมัยกอบาชอฟเสียอีก!

ชาวบ้านเห็นวีรบุรุษที่พวกเขาเคยนับถือมาลอยหน้าลอยตาพาบริวารฉ้อราษฎร์บังหลวงกันสนุกสนาน ต่างคนต่างโกรธแค้น พากันต่อว่าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

...เยลซินเห็นความนิยมตกต่ำลงเรื่อยๆก็ใจหาย คิดหาวิธีว่าทำอย่างไรจึงจะยึดกุมอำนาจได้นานๆ...

หวยมาออกที่ตอนนั้นมีเรื่องดูดาเยฟชิงอำนาจ เข่นฆ่าขับไล่ชาวรัสเซีย ทำให้ชาวรัสเซียทั้งแผ่นดินโกรธแค้น เยลซินเห็นว่าประเทศเชชเนียมันก็เล็ก ตีมันคงไม่เปลืองแรงมาก ดีเสียอีกจะทำให้ชาวบ้านเห็นผลงานกลับมารักเรา คิดดังนั้นประธานาธิบดีแห่งรัสเซียจึงออกคำสั่งให้มีการปลุกปั่นยุยงขุนศึกเชชเนียกลุ่มต่างๆให้ก่อกบฏ โค่นล้มดูดาเยฟลงให้ได้

...  ...  ...

อีกทางหนึ่งเกิดเหตุการณ์ชาวอินกุชขอแยกประเทศไปปกครองตนเอง ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการอิสรภาพ หรือไม่อยากอยู่ใต้เชเชน แต่เพราะชาวอินกุชเห็นว่ามาตุภูมิมีความสำคัญยิ่งกว่าอิสรภาพ...

เพราะเพื่อแผ่นดินปรีโกรอดนีที่ถูกชิงไปครั้งสตาลินแล้วชาวอินกุชยอมแม้กระทั่งกลับไปสวามิภักดิ์รัสเซียอีก ด้วยหวังว่ารัสเซียจะเห็นใจในความจงรักภักดี คืนดินแดนแห่งนี้ให้

ฝ่ายออสเซเตียเห็นอินกุชประจบรัสเซียจะเอาเมืองตนก็โกรธ จึงส่งทหารไปเข่นฆ่าขับไล่ชาวอินกุชออกจากดินแดนปรีโกรอดนี ชาวอินกุชรวมกำลังตอบโต้กลับ เกิดเป็นสงครามคร่าชีวิตคนไปมากมาย


สีขาวคือออสเซเตีย สีเทาด้านขวาคืออินกุสเชเตีย กับเชชเนีย สีแดงคือปรีโกรอดนี

เยลซินเห็นออสเซเตียกับอินกุชตีกัน เขาทราบดีว่าอินกุชไม่มีทางสู้ออสเซเตียได้ ครั้นจะห้ามก็กลัวเสียความนิยมจากออสเซเตียซึ่งจงรักภักดีต่อรัสเซียมานานกว่า แต่หากไม่ทำอะไรเลยชาวอินกุชที่พึ่งมาสวามิภักดิ์แล้วก็จะเสื่อมความนิยม ดังนั้นเยลซินจึงนั่งแคะขี้มูกรอจนกระทั่งออสเซเตียตีอินกุชจนแย่จึงค่อยส่งทหารเข้าไปห้าม

ทหารรัสเซียปกป้องชาวอินกุชไว้ได้ก็จริง แต่นั่นคือหลังจากที่ออสเซเตียขับไล่พวกเขาเกือบทั้งหมดออกจากปรีโกรอดนีแล้ว ทำให้อินกุชไม่มีกำลังมาชิงดินแดนนี้คืนอีกจนปัจจุบัน

และจริงๆแล้วเยลซินก็ไม่ได้ตั้งใจส่งทหารมาห้ามทัพออสเซเตียเป็นหลักด้วย... เป้าหมายที่แท้จริงคือการใช้ศึกอินกุชเป็นข้ออ้าง ส่งทหารมาประชิดชายแดนเชชเนีย คอยส่งกำลังบำรุงพวกขุนศึกตีดูดาเยฟให้อ่อนกำลัง

เป้าหมายที่แท้จริงของเยลซินคือการยึดครองเชชเนียอีกครั้ง
สงครามเชเชนครั้งแรก

เยลซินสนับสนุนขุนศึกเชชเนียทั้งเงินทั้งอาวุธให้ปฏิวัติดูดาเยฟหลายครา แต่ไม่สำเร็จ เกิดความรำคาญใจนัก พอดีตอนนั้นที่ปรึกษาคนหนึ่งแนะนำว่า “ทำไมไม่หาข้ออ้างส่งทหารเราไปตีเองตรงๆ เมืองเล็กแค่นี้ใช้แค่สองกองพลก็ยึดได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้ว”

ที่ปรึกษาคนอื่นๆพากันคัดค้านว่า “อย่าทำอย่างนั้นเลย พวกเชเชนนั้นเหมือนเสือที่กระหายเลือด หากปล่อยไว้มันจะกัดกันจนล้มตายเอง แต่หากไปตีมัน มันจะรวมกำลังมาสู้เรา จะไม่คุ้มเสีย”

เยลซินคิดว่าหากไม่รบเอาชนะไหนเลยจะได้เกียรติยศ
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวรัสเซียที่กำลังประสบภัยเศรษฐกิจ และเพื่อรักษาฐานเสียงของเขา เยลซินจึงสั่งให้กองทัพรัสเซียทางบกทางอากาศเข้าโจมตีเมืองกรอสนีอย่างเต็มรูปแบบในปี 1994


พวกเชเชนยึดเฮลิคอปเตอร์รัสเซียได้

ด้านเชเชนนั้น แม้รบกันเองชุลมุนวุ่นวาย แต่กองกำลังของพวกเขาส่วนมากเคยเป็นทหารเก่าในของทัพโซเวียต รู้ไส้พุงฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี อาวุธยุทโธปกรณ์ก็มีของที่โซเวียตทิ้งไว้ทั้งปืน ทั้ง RPG ทั้งรถถัง (แม้จะเป็นรุ่นเก่าเก็บตั้งแต่ยุคต้นสงครามเย็น โซเวียตปลดระวางแล้วเอามาจอดไว้ก็ตาม)

ตอนแรกพอสงครามเริ่มฝ่ายเชเชนก็ตกใจ ครั้นตั้งสติได้ก็ช่วยกันวางแผนรับมือ มีการรวบรวมกำลังจากขุนศึกกลุ่มต่างๆจัดเป็นระเบียบกรมกอง ขุนศึกแต่ละคนแปรสภาพเป็นนายพลนายพัน ออกบัญชาการแต่ละแนวรบตามหน้าที่

พูดได้ว่าศึกครั้งนี้ฝ่ายเชเชนไม่พร้อมอย่างยิ่ง มีทหารกับอาวุธเพียงหยิบมือ หลายคนเป็นทหารบ้าน เชื่อฟังการบัญชาของขุนศึกเจ้านายตนมากกว่าฟังส่วนกลาง การประสานงานก็จำกัด

แต่ฝ่ายกองทัพรัสเซียกลับไม่พร้อมยิ่งกว่า พวกเขากำลังอ่อนแอเพราะขาดเงินสนับสนุนมานาน ทหารหลายคนเห็นว่านี่เป็นสงครามที่ไร้สาระ ไม่อยากไปตายเพื่อหาเสียงให้เยลซิน ต่างคนต่างก็รบไม่เต็มที่ เมื่อทหารมีขวัญกำลังใจต่ำ กองทัพขาดระเบียบวินัยก็เกิดการปล้นจี้ข่มขืนชาวบ้านเชเชนในหลายตำบล ขุนศึกเชเชนหลายคนที่เคยเข้าข้างเยลซินเห็นอย่างนั้นก็ให้รู้สึกว่าเลือดข้นกว่าน้ำ หันมาสวามิภักดิ์ดูดาเยฟมากขึ้นเรื่อยๆ


สมรภูมิที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีกรุงกรอสนี

ทัพรัสเซียบุกเข้าเมืองกรอสนีรอบแรก เจอพวกเชเชนตั้งรับด้วยยุทธวิถีรบในตรอกซอกซอย เอา RPG ยิงทำลายรถถังได้หลายคัน ล่อให้พวกรัสเซียมาติดกับแล้วรุมฆ่าจนสูญเสียกำลังนับร้อย ต้องล่าถอยกลับไปอย่างบอบช้ำ

ตอนแรกรัฐบาลรัสเซียก็พยายามปิดข่าว แต่ต้องจนด้วยหลักฐานเมื่อดูดาเยฟจับเชลยทหารรัสเซียมาเดินพาเหรดออกทีวีและขู่ว่าถ้าไม่ยอมรับว่าพวกนี้เป็นเชลยจริงจะฆ่าทิ้งให้หมด

เยลซินโกรธมากที่กองทัพอันเกรียงไกรของเขาถูกพวกแมงหวี่แมงวันลูบคม เขาจึงส่งเครื่องบินรบไประเบิดปูพรมหนักขึ้น และเอาทหารอัดเข้าใส่กรุงกรอสนีอย่างกองทัพมด พวกเชเชนแม้กำลังฮึกเหิม แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในที่สุดกรอสนีก็แตก ฝ่ายดูดาเยฟ “ถูกตีหนีขึ้นเขา” เจริญรอยตามสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาโดนมาตลอด


ชาวเชเชนกำลังสวดมนต์ ไฟที่เห็นด้านหลังคือท่อน้ำมันที่ถูกกระสุนยิง เกิดไฟลุกท่วมออกมาไม่หยุด

บาซาเยฟเป็นเหตุ

ต่อไปผมขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับ “ตัวโหด” ของสงครามครั้งนี้นะครับ

มาจะกล่าวบทไปถึงชายชาวเชเชนคนหนึ่งชื่อ ชามิล บาซาเยฟ สมัยยังหนุ่มเขาพยายามค้นหาตัวเอง โดยขณะเรียนมัธยมเคยเป็นนักฟุตบอลฝีมือฉมัง โตขึ้นไปเป็นนักดับเพลิงอยู่สองปี จากนั้นไปทำงานในโรงนาอยู่สี่ปี ต่อมาก็พยายามสร้างความก้าวหน้าโดยเข้าไปเรียนต่อที่มอสโคว์ แต่เรียนไม่เก่งจึงสอบตกถูกไล่ออก


ชามิล บาซาเยฟ

เขาจำต้องสมัครทำงานเป็นเซลแมนเล็กๆขายคอมพิวเตอร์ ถูกเจ้าของร้านก่นด่าทุกวันเพราะไม่ตั้งใจทำงาน ชอบหลบไปเล่นวีดีโอเกมส์

วันดีคืนดีบาซาเยฟได้ฟังเรื่องราวของวีรบุรุษ เช กูวารา ผู้เดินทางต่อสู้กับความอยุติธรรม ก็เกิดความหลงใหล ตั้งใจจะเจริญรอยตาม
ปี 1991 ขณะที่เยลซินนำชาวรัสเซียต่อต้านคณะปฏิวัติ มีคนเห็นบาซาเยฟถือระเบิดมือไปร่วมขบวนการกับเยลซินด้วย

ต่อมาเขาค่อยๆค้นพบความฮาร์ดคอว์ในตัวเอง ยิ่งบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนวุ่นวาย บาซาเยฟก็ยิ่งรู้สึกเหมือนปลาได้น้ำ ในที่สุดจึงทิ้งทุกสิ่งออกเดินทางไปเป็นทหารรับจ้างตามดินแดนต่างๆ

บาซาเยฟสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตโหดๆโดยเข้าร่วมสงครามอาเซอไบจัน-อาร์เมเนีย จากนั้นจึงอาสารัสเซีย ร่วมรบในศึกที่อับคาเซีย และสร้างผลงานมากมายจนได้ขึ้นเป็นหัวหน้ากองกำลังคอเคซัส (มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวเชเชน)

พวกรัสเซียให้การฝึกสอนทางทหารแก่บาซาเยฟเป็นอย่างดีจนมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีนานาประการ พวกเขารู้สึกว่าคนๆนี้มีแวว เทียบกับทหารคนอื่นนั้นเวลาต้องฆ่าคนจริงๆก็มีการกลัวเจ็บกลัวตายใจอ่อนบ้าง แต่บาซาเยฟนี้กลับต่อสู้ได้อย่างดุดันอำมหิต อยู่ในสนามรบคล้ายอยู่ในสวนสนุก ...คล้ายเกิดมาเพื่อสงครามโดยเฉพาะ...


บาซาเยฟกลายเป็นต้นแบบให้กับนักรบเชเชนในยุคหลังจำนวนมาก

...ท่านที่ตามข่าวอาจจะเคยดูคลิปกลุ่มก่อการร้ายเชเชนจับคนมาตัดคอน่าสยดสยอง ขอเรียนว่าบาซาเยฟคนนี้แหละที่เป็นผู้ให้กำเนิดความเถื่อนดังกล่าว...

สงครามอับคาเซียครั้งนั้นกลายเป็นสนามให้เขาได้ปลดปล่อยความโรคจิต มีรายงานว่ากลุ่มของบาซาเยฟจับทหารจอร์เจียซึ่งอยู่ฝ่ายข้าศึกกว่าร้อยคนไปที่สนามฟุตบอล แล้วตัดหัวคนเหล่านั้น เอาเลือดมากิน เอาศีรษะมาเตะเล่นต่างลูกฟุตบอล นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ให้กำเนิดการประหารแบบใหม่ที่ป่าเถื่อนผิดมนุษย์มนา ชื่อว่า “ลิ้นเชเชน” วิธีการประหารคือการเชือดคอเหยื่อแล้วดึงลิ้นออกมาทางรอยแผล

ผมรู้ว่าพวกท่านที่ตามอ่านสารคดีสงครามแบบนี้ส่วนใหญ่ก็ชอบอะไรซาดิสท์ๆจึงได้เตรียมชุดภาพบาซาเยฟสุดโหดเอาไว้ตอบสนองความต้องการของพวกท่านแล้ว

ผมขอเตือนว่าภาพทุกภาพนี้ผมคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แต่ละภาพโหดร้ายทารุณมาก ใจไม่ถึงห้ามเปิดดูเด็ดขาด และเพื่อโลกมนุษย์อันสวยงามผมขอให้ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่าสิบแปดข้ามตรงนี้ไปเลยนะครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

...  ...  ...

ภายหลังเกิดศึกเชเชนขึ้น บาซาเยฟเห็นแก่เลือดข้นกว่าน้ำจึงพากองทัพกลับมาต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง

ดูดาเยฟต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ตั้งให้เป็นผู้บัญชาการรบภาคสนาม ซึ่งบาซาเยฟก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการตีฝ่ายรัสเซียล่าถอยไปได้ในการรุกครั้งที่หนึ่ง

และในการรุกครั้งที่สองนั้น แม้จะไม่สามารถต้านทานการทุ่มเทมหาแสนยานุภาพ และกองทัพมดของเยลซินได้ แต่เขาก็นำพาทหารของเขารบฝ่ายรัสเซียเป็นสามารถ จนทำให้รัสเซียได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก่อนบาซาเยฟจะล่าถอยไปทำกองโจรตามป่าเขา

รัสเซียย่อมรู้ฝีมือชายผู้นี้ดีจึงเร่งทำการไล่ล่าจะสังหารให้ได้ ทำให้บาซาเยฟประสบความยากลำบาก ทหารในสังกัดล้มตายไปมากมาย เสบียงอาวุธก็ใกล้หมดเต็มที

จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายรัสเซียส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่เมืองบ้านเกิดของบาซาเยฟ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าน้องสาว พร้อมทั้งครอบครัวบาซาเยฟอีกสิบเอ็ดชีวิตตายหมดสิ้น!

บาซาเยฟโกรธแค้นจนคลุ้มคลั่ง จากที่เมื่อก่อนยังมีความเกรงใจว่ากำลังสู้กับรัสเซียผู้เคยสอนวิชารบให้ เวลารบก็รบตรงๆอย่างมืออาชีพ แต่ความแค้นล้างตระกูลทำให้บาซาเยฟหมดความคิดผิดชอบชั่วดี ตัดสินใจพาทหารข้ามไปยังเมืองบูเดนนอฟสก์ซึ่งเมืองชายแดนรัสเซียยึดได้โรงพยาบาลบูเดนนอฟสก์ซึ่งมีหมอพยาบาลและคนไข้ราว 1,500-1,800 คน เป็นเด็ก 150 คน และมีเด็กแรกเกิดอีกจำนวนมาก


เหตุชิงโรงพยาบาลบูเดนนอฟสก์

บาซาเยฟประกาศว่า “ให้รัสเซียหยุดโจมตีเชชเนีย มิเช่นนั้นจะฆ่าตัวประกันให้หมด” พอรัสเซียตอบสนองช้า บาซาเยฟก็สุ่มเลือกตัวประกันมาห้าคนแล้วยิงทิ้งแสดงให้เห็นว่าไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งนั้น

รัสเซียพยายามส่งทหารไปตีเอาโรงพยาบาลคืนครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่สำเร็จ พวกเชเชนใช้คนไข้มาเป็นโล่ห์มนุษย์ การต่อสู้ทำให้เกิดไฟไหม้โรงพยาบาล มีควันไฟคละคลุ้ง ฝ่ายรัสเซียมองไม่เห็นอะไรก็ยิงไปมั่วๆ ต่อควันจางค่อยรู้ตัวว่ายิงโดนคนไข้ศพนอนเกลื่อนกลาด

ปรากฏคนไข้ตายไปร้อยกว่าคน ที่เหลือตกอยู่ในสภาวะขาดเวชภัณฑ์กับอาหาร รัฐบาลเยลซินถูกกดดันจนต้องยอมตามเงื่อนไข ถอนทหารจากการรุกรานเชชเนียทุกแนวรบ และปล่อยกลุ่มบาซาเยฟกลับประเทศอย่างปลอดภัย (บาซาเยฟเอาตัวประกันชุดสุดท้ายเดินทางไปด้วย พอแน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆจึงปล่อยเป็นอิสระ)


ตัวประกันหนีตายจากโรงพยาบาล

ยุทธการชิงโรงพยาบาลบูเดนนอฟสก์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงคราม โดยก่อนหน้านี้ประชาชนและทหารรัสเซียก็ไม่พอใจอยู่แล้วที่เยลซินเอาคนไปตายมากมาย เอางบประมาณไปผลาญทั้งๆที่ประเทศกำลังยากจน เป้าหมายของสงครามก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากยึดครองประเทศเล็กๆ ถึงกับต้องใช้เครื่องบินใช้รถถังแพงๆไปรบอย่างสิ้นเปลือง ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปก็มาก

...บูเดนนอฟสก์คือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ชาวรัสเซียตระหนักว่า แม้ชีวิตพวกเขาเองก็ไม่ปลอดภัยอีกแล้วจากสงครามบ้าๆนี่!

เกิดกระแสต่อต้านสงครามอย่างหนัก เยลซินเองอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือถ้ารบต่อก็ยิ่งสิ้นเปลืองโดยมองหาความสำเร็จไม่เจอ แต่ถ้าถอยก็จะต้องเสียหน้าเสียคะแนนเสียง (จริงๆไม่ถอยก็เสียคะแนนเหมือนกัน)

บาซาเยฟกลับบ้านอย่างวีรบุรุษ การหยุดยิงของรัสเซียทำให้ฝ่ายเชเชนมีเวลาจัดหาอาวุธ เกณฑ์กำลังพลมาเสริมใหม่ ทำสงครามยืดเยื้อต่อไป

ชัยชนะ... ชัยชนะ...

แม้เยลซินถูกหลายฝ่ายกดดันหนัก อย่างไรก็ตามชาติเสือมันยังต้องไว้ลาย ชาติหมีอย่างเยลซินก็ต้องไว้ลายเหมือนกัน (หมีมันก็มีลายนะครับ หมีแพนดาไง)

หลังจากวางแผนการเสร็จ เยลซินได้ติดต่อไปหานายบิล คลินตันของประธานาธิบดีของอเมริกาในขณะนั้น บอกว่า “นี่นาย ครั้งนี้นายต้องช่วยฉันปราบพวกเชเชนด้วย”


บิล คลินตัน

“ทำไมฉันต้องช่วยนายล่ะ เราเป็นคนละฝ่ายกันนะ?” คลินตันกล่าว

“นั่นก็จริง... แต่ถึงอย่างไรฉันก็นับถือลัทธิทุนนิยมเหมือนนาย และการที่รัสเซียเป็นทุนนิยมก็ทำให้อเมริกาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” เยลซินอธิบาย “เดือนมิถุนาปี 96 ที่จะถึงนี้ จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในรัสเซีย คู่แข่งของฉันมันเป็นพรรคคอมมิวนิสต์นะโว้ย ถ้าฉันจบสงครามเชเชนไม่ได้ ประชาชนก็จะไม่เลือกฉัน ...แล้วนายอยากให้คอมมิวนิสต์กลับมาปกครองรัสเซียอีกครั้งเหรอ?”

คลินตันคิดตามแล้วก็เห็นจริง สิ่งที่เขาอยากหลีกเลี่ยงที่สุดคือการที่รัสเซียกลับเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามเย็นขึ้นอีกรอบ “...แล้วนายอยากให้ฉันทำอะไร?” เขาถาม

“หึหึหึ...” เยลซินหัวเราะ "นายก็แค่..."

...  ...  ...

วันที่ 21 เมษายน 1996 ดูดาเยฟกำลังใช้ชีวิตหลบซ่อน เขาต้องเดินทางบัญชาการการรบตามฐานทัพลับต่างๆ เพื่อไม่ให้พวกรัสเซียจับตำแหน่งได้

ระหว่างนั้นเองอยู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้น

...อะไรบางอย่างทำให้ดูดาเยฟลังเลจะรับ...

...หลายเดือนก่อนบริวารคนหนึ่งจัดหาโทรศัพท์ดาวเทียมเครื่องนี้มาให้ บอกว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกลูกพี่ อันนี้มันทำงานกับระบบดาวเทียมของอเมริกาไม่ใช่รัสเซีย ลูกพี่แค่ต้องระวัง พูดครั้งหนึ่งๆอย่าให้นานเกินไป มันจะจับตำแหน่งเราได้”

ตั้งแต่ต้นปี ดูดาเยฟใช้โทรศัพท์เครื่องนี้เพียงสี่ครั้ง แต่ละครั้งจะสั่งการอย่างสั้นห้วนด้วยความระมัดระวังเสมอ

เขาคิดในใจว่าครั้งนี้ก็จะพูดสั้นๆเหมือนกัน จึงรับโทรศัพท์กล่าวว่า “สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“ฟังนะคุณดูดาเยฟ ผมชื่อคอนแสตนติน โบโรวอย เป็น ส.ส.รัสเซีย คุณคงได้ยินชื่อผมมาก่อน” เสียงตามสายดังมา


คอนแสตนติน โบโรวอย

ดูดาเยฟย่อมรู้จัก โบโรวอย ส.ส. ชื่อดัง “คุณมีเรื่องอะไรล่ะ?” เขาถาม

“ผมมีข้อเสนอสันติภาพจากประธานาธิบดีเยลซินมาบอกคุณ”

ถ้าเป็นเรื่องอื่นดูดาเยฟคงวางสายทิ้งนานแล้ว แต่ข้อเสนอสันติภาพเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด เพราะนั่นหมายถึงการสิ้นสุดสงคราม ดังนั้นเขาจึงผ่อนคลายความระมัดระวังลงส่วนหนึ่ง...

เป็นเวลายี่สิบนาทีที่โบโรวอยเจรจาขายฝันให้ดูดาเยฟ บอกว่าจะให้เอกราชเชชเนียอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าเพียงแต่ดูดาเยฟยอมสวามิภักดิ์อย่างนี้อย่างนั้น ดูดาเยฟก็ต่อรองว่าเขามีข้อแม้อย่างนั้นอย่างโน้น และรัสเซียต้องยอมอย่างโน้นอย่างนี้

พอถึงจุดหนึ่งเสียงโบโรวอยก็เปลี่ยนไป “อโหสิให้ผมด้วยนะคุณเยฟ” เขากล่าว

“อะไรน่ะคุณวอย เจรจากันดีๆ อยู่ๆก็มาอโหสิ”

“ดูบนท้องฟ้าสิ" โบโรวอยว่า

ดูดาเยฟมองขึ้นฟ้า เห็นมิสไซส์ลูกหนึ่งปลิวมา

ตูม!

เกิดเป็นเสียงกัมปนาทผลาดแผลง ระเบิดลูกนั้นผลาญทำลายชีวิตประธานาธิบดีแห่งเชชเนียลงในพริบตา!!!



ภาพดูดาเยฟถ่ายจากกล้องวีดีโอที่ติดบนจรวด


ซากรถจากการระเบิด


เครื่องบิน Sukhoi Su-25 แบบเดียวกับที่ใช้สังหารดูดาเยฟด้วยมิสไซส์เลเซอร์นำวิถี


การเจรจานานเกินไปทำให้ทหารรัสเซียสามารถใช้ดาวเทียมอเมริกาจับตำแหน่งดูดาเยฟได้

เยลซินตะโกนลั่นเมื่อได้รับข่าวการตายของดูดาเยฟ ผู้คนต้องแปลกใจเมื่อเห็นเขาเต้นรำอย่างไม่อาจเก็บงำความดีใจไว้ได้ สักพักเยลซินจึงเดินไปหาพรรคพวก ชูแก้วเหล้าขึ้นร้องว่า “ดื่มให้แก่ชัยชนะในการเลือกตั้งของพวกเรา!” ทุกคนก็ส่งเสียงยินดีปรีดาตาม

การสังหารดูดาเยฟทำให้ชาวรัสเซียกลับมานิยมเยลซิน และส่งผลให้เขาชนะการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนปีนั้น

...ในที่สุดสงครามที่พาประเทศหมดเปลืองไปมากมาย ก็ช่วยให้ชายผู้นี้ชนะการเลือกตั้งอันเป็นจุดประสงค์หลักจริงๆ...



...  ...  ...

ข่าวดูดาเยฟตายเหมือนสายฟ้าฟาดชาวเชเชน

ทุกคนมองว่าถึงท่านประธานาธิบดีจะเคยทำไม่ถูกใจอย่างไร แต่ก็ยังนับเป็นวีรบุรุษที่กอบกู้เอกราชให้พวกเขา การตายของดูดาเยฟทำให้ทุกคนโกรธแค้นเป็นอย่างมาก!

...สิงหาคม 1996 สี่เดือนหลังการตายของดูดาเยฟ กองกำลังเชเชนนำโดยผู้บัญชาการอัสลาน มาสคาดอฟ และชามิล บาซาเยฟได้รวมตัวกันยกไปตีเมืองกรอสนี...


อัสลาน มาสคาดอฟ

ทหารเชเชนที่มาครั้งนี้มีเพียงหนึ่งพันห้าร้อยคน เทียบกับทหารรัสเซียหมื่นสองที่รักษากรอสนีอยู่ก็นับว่าน้อยมาก
แต่ความแค้นฆ่าผู้นำทำให้เดนตายทั้งพันห้านั้นมีกำลังขวัญกล้าแกร่งยิ่ง พวกเขาใช้ความได้เปรียบจากความคุ้นเคยเมืองกรอสนี ทำการแทรกซึมเข้าตามตรอกซอกซอย และทางลับสายต่างๆที่รัสเซียไม่รู้จัก

เพียงสามชั่วโมงทหารเชเชนทั้งกองก็แทรกซึมเข้ากรอสนีหมดสิ้น จึงทำการ “แบ่งแยก” ข้าศึกเป็นหลายส่วน และ “ล้อม” ให้ออกไปไหนไม่ได้ด้วยกับระเบิด ฝ่ายเชเชนเสียทหารไปเพียง 47 นายเท่านั้นในการปฏิบัติภารกิจขั้นนี้


กองกำลังเชเชน

มาสคาดอฟ และบาซาเยฟโดดเดี่ยวกองกำลังรัสเซียออกจากกัน ตัดน้ำ ตัดเสบียง ตัดการสื่อสาร และไล่เก็บรัสเซียกองเล็กกองน้อยไปทีละกองๆ

วันนั้นเยลซินต้องตกใจมากเมื่อทราบข่าวว่า ไพร่พลหนึ่งหมื่นสองพันคน ถูก "ล้อม" โดยพวกแมงหวี่เชเชนที่มีอยู่แค่พันห้า เขารีบส่งกองทหารจากนอกเมืองไปช่วย แต่กลับถูกเชเชนซุ่มโจมตีแตกหนีกลับไปด้วยแผนการที่วางไว้เป็นอย่างดี

ข่าวร้ายกว่านั้นคือในทหารรัสเซียจำนวน 12,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นชาวเชเชนสวามิภักดิ์ พอเห็นฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคนชาติเดียวกันทำท่าว่าจะชนะ พวกนี้ก็แปรพักตร์ ทำให้กองกำลังเชเชนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 – 7,000 คนในไม่กี่วัน


ศพคนตายจากสมรภูมิกรอสนี

ยิ่งการ “ล้อม” ดำเนินไป ฝ่ายเชเชนยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ฝ่ายรัสเซียยิ่งแย่ลง
ในที่สุดนายพลคอนแสตนติน ปูลิคอฟสกีของรัสเซียเกิดฮีทแตก ประกาศว่า “พวกกบฏออกจากเมืองกรอสนีเดี๋ยวนี้นะ! หากชักช้า พ่อจะส่งเครื่องบินปูพรม ฆ่าม่างให้หมด”

แต่นายทหารระดับสูงด้วยกันรีบเตือนว่า “เมิงใจเย็นๆ... ในเมืองนั่นนอกจากฝ่ายกบฏแล้ว ยังมีประชาชนบริสุทธิ์อยู่อีกสามแสนคน และมีทหารเราอีกหลายพันนะว้อย”

พวกเขาปรึกษากันนาน จึงกลับมาบอกว่า “เมื่อกี้พูดเล่นขำๆนะตัวเอง... อย่าคิดมากนะตัวเองนะ...”

...แต่คำพูดเอาคืนไม่ได้แล้ว...

มันทำให้ฝูงชนที่เสียขวัญพยายามหลบหนีออกจากเมือง เกิดความสับสนอลหม่านเกินกว่าจะควบคุมได้

ทุกสิ่งทุกอย่างบอกเยลซินว่าแพ้สงครามครั้งนี้แน่ๆ แต่ในเมื่อชนะเลือกตั้งแล้วก็เอาวะ... จะสู้ต่อให้คนเสื่อมความนิยมอีกทำไม...

วันที่ 20 สิงหาคม 1996 ทางการรัสเซียจึงยอมเจรจาสันติภาพกับทัพเชเชน หลังจากถูกล้อมอยู่เพียงสิบห้าวันเท่านั้น

สงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งดำเนินมาสองปีตั้งแต่ 1994-1996 จบลงด้วยชัยชนะของทั้งสองฝ่าย

...คือฝ่ายเชเชนชนะรักษาเอกราชไว้ได้...

...ส่วนฝ่ายเยลซินก็ชนะการเลือกตั้ง...

...ผู้ที่พ่ายแพ้คือทหารรัสเซียกว่าห้าพันคนที่ต้องไปตายอย่างเปลืองเปล่า และชาวเชเชนกว่าหนึ่งแสนคนที่สิ้นชีวิตในสงคราม ส่วนใหญ่เป็นประชาชนธรรมดานั่นเอง...


ซากเมืองกรอสนีหลังสงคราม

เรื่องราวของหมาล่าเนื้อ

หลังสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งสงบลง สรรพสิ่งก็กลับเป็นเหมือนเก่า นั่นคือเยลซินและพวกก็โกงกินอย่างสนุกสนานพาให้ประเทศรัสเซียล่มจมต่อไป ส่วนเชชเนียนั้นแม้จะได้มาสคาดอฟเป็นประธานาธิบดีใหม่ แต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจเด็ดขาด ไม่สามารถรวบรวมขุนศึกกลุ่มต่างๆให้สามัคคีกันได้ ภัยสงครามยังทำให้ประเทศมีสภาพย่ำแย่กว่าสมัยดูดาเยฟเสียอีก

ในตอนนี้ ผมจะขอแนะนำ “หมาล่าเนื้อ” ที่จะมามีบทบาทสำคัญในเรื่องราวข้างหน้า

...ชื่อของเขาคือ “ปูติน”



...  ...  ...

ปี 2013 นิตยสารฟอร์บยกย่องให้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก แซงหน้าแม้แต่ประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐอเมริกา



ท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อคนๆนี้ตามข่าวอยู่บ่อยครั้ง และคิดว่าเขาก็เหมือนกับนักการเมืองทั่วๆไป...

...แต่รู้ไหมว่าอะไรทำให้ปูตินไม่เหมือนนักการเมืองคนอื่น...

...สิ่งที่ทำให้ปูตินแตกต่างคือเขาไม่ได้เป็นนักการเมือง

...

...ท่านครับ เวลาดูหนังแอคชั่น ท่านอาจสังเกตเห็นตัวร้ายหลายตัวเป็นเจ้าพ่อแก่ๆอ้วนๆ...



...เจ้าพ่อคนนั้นมักจะมีลูกสมุนโหดๆ ลึกลับๆอยู่ข้างกายคนหนึ่ง...



...ต่อมาลูกสมุนคนนั้นจะเปิดเผยธาตุแท้ให้พระเอกเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ...

...

...และกลายเป็นตัวร้ายสุดในตอนจบ...



...

...ท่านครับ... สิ่งต่างๆในสื่อบันเทิงล้วนสะท้อนเรื่องราวความเป็นจริงในโลกไม่มากก็น้อย...

...และในเรื่องราวของเรา "ความเป็นจริง" นั้น จะถูกสะท้อนออกมาเช่นกัน...

...  ...  ...

ปูตินเกิดเมื่อปี 1952 ณ เมืองเลนินกราด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) พ่อเป็นทหารเกณฑ์ แม่เป็นสาวโรงงาน ปู่เป็นพ่อครัว สาแหรกทุกฝ่ายไม่เคยมีคนใหญ่คนโตมาก่อน

ตอนเด็กๆเขาชอบดูหนังสายลับรัสเซียมาก ถึงกับไปบอกเจ้าหน้าที่ KGB (หน่วยสืบราชการลับรัสเซีย) ว่า “ผมอยากเป็นสายลับ โปรดรับผมเข้าทำงานได้ไหมครับ” คำตอบที่ได้รับคือ “...ไอ้หนู นายไม่ใช่คนเลือกดอก ถ้าเราต้องการให้ใครมาทำงานกับเรา เราจะเป็นฝ่ายบอกเขาเอง...”


ปูตินในวัยเด็ก

เมื่อโตขึ้นปูตินเริ่มให้ความสนใจกับศิลปะป้องกันตัว เขาฝึกแซมโบ (มวยปล้ำรัสเซีย) จนเก่ง แข่งกวาดมาหลายรางวัล ต่อมาสนใจยูโดก็ร่ำเรียนจนได้สายดำ และแข่งขันได้เป็นแชมป์เมือง


นอกจากได้สายดำยูโดแล้ว ปูตินยังได้สายดำคาราเต้และเทควันโดด้วย

ปูตินยังไม่ละทิ้งความฝันที่จะเป็นสายลับ เขาเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายในเลนินกราด (สมัยนั้นมีเพียงสองอาชีพที่จะเข้าทำงาน KGB ได้คือนักกฎหมายกับทหาร) เพื่อนๆบอกว่าเขาเป็นคนพูดน้อย และรักษาความลับเก่งมาก จนมีฉายาว่า “กล่องดำ”



ปูตินแต่งงานกับลุดมิลา ซึ่งเคยเป็นแอร์โฮสเตส

วิทยานิพนธ์ตอนเรียนจบของปูตินใช้หัวข้อเรื่อง “การวางแผนกลยุทธ์เรื่องทรัพยากรภูมิภาคภายใต้การก่อตัวของตลาดสัมพันธ์” (แม้จะฟังดูยาก แต่จำหัวข้อนี้ไว้ดีๆนะครับ มันจะมีผลต่อโลกของเราในอนาคต)

หลังสำเร็จการศึกษาไม่นาน KGB ก็ติดต่อมาหาบอกว่า “เราต้องการคนอย่างนาย” เขาจึงได้เป็นสายลับสมใจ


ปูตินขณะเป็น KGB

ปูตินเริ่มงานเป็นหน่วยสืบราชการลับประจำเมืองเลนินกราด คอยจับตาดูกลุ่มคนต่างชาติ สอดส่องรวบรวมข้อมูล ปูตินทำงานได้ดีได้รับเลื่อนขั้นโดยลำดับ เขาถูกย้ายไปประจำเมืองเดรสเดนในเยอรมันเพื่อทำอะไรที่อันตรายกว่านั้น นั่นคือจารกรรมความลับของนาโต

หลังจากเยอรมันตะวันออกถูกยุบรวมกับตะวันตก ปูตินก็ย้ายกลับมาเลนินกราดอีกครั้ง ทำงานสายลับต่อจนได้เลื่อนยศสูงสุดเป็นพันโท
ต่อมาเดือนสิงหาคม 1991 เกิดเหตุองค์กร KGB เข้าร่วมกับคณะปฏิวัติคอมมิวนิสต์ต่อต้านกอบาชอฟ ปูตินตัดสินใจลาออกจากหน่วยสืบราชการลับทันที เพราะคิดว่าพวกนั้นไม่สามารถพาบ้านเมืองให้รุ่งเรืองได้เหมือนฝ่ายเยลซิน

“นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก เพราะผมรักงานสายลับเหลือเกิน การอยู่ใน KGB นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” ปูตินให้สัมภาษณ์ในภายหลัง

ต่อมาเขาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อนายอนาโตลี ซอบชัค และใช้วิชาที่ชำนาญคือการ “ควบคุมข่าวสาร บริหารความลับ” ช่วยเหลือจนซอบชัคได้รับเลือกเป็นผู้ว่าเมืองเลนินกราด


ประธานาธิบดีจอร์จ บุชของอเมริกาเคยกล่าวว่า “เวลาปูตินมองผมทีไร ผมรู้สึกว่าถูกล้วงลึกเข้ามาถึงวิญญาณเลย”

กิตติศัพท์ของปูตินดังไปถึงเมืองหลวง นักการเมืองมอสโคว์เห็นว่าชายคนนี้มีประโยชน์ จึงเรียกตัวเขาเข้าไปช่วยงานด้วย
ที่มอสโคว์นั่นเองที่ปูตินไต่เต้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ได้เป็นคนสนิทของเยลซินผู้ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าหน่วย FSB (หน่วยสืบราชการลับที่มาแทน KGB ในสมัยเยลซิน)

ช่วงนั้น ปูตินใช้วิชาสายลับ กำจัดคู่แข่งการเมืองให้เยลซินทีละคนอย่างมีประสิทธิภาพ


ภาพยูรี สกูราตอฟ ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองของเยลซิน ถูกปูตินเอาภาพตอนเที่ยวโสเภณีมาประจาน บีบให้ลาออก

แต่ยิ่งทำงานนี้มากเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งกับตนเอง

...จากที่ปูตินเคยนับถือเยลซินว่าเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ชาติ พอได้ใกล้ชิดจริง เยลซินกลับกลายเป็นคนละโมภโลภมาก พาพวกพ้องคอรัปชันจนประเทศล่มจม นอกจากนั้นยังเห็นแก่คะแนนเสียง เอาทหารไปตายที่เชชเนียมากมาย และพ่ายแพ้สงครามอย่างน่าสมเพช

ในสายตาปูตินประเทศรัสเซียในตอนนั้นเปรียบเหมือนคนป่วยหนัก...

เขาเคยภูมิใจกับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิรัสเซียในอดีต...

เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรจะต้องหาทางแก้ไขให้มาตุภูมิกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งให้จงได้...

...

...

ปี 1999 อยู่ๆเยลซินก็ประกาศแต่งตั้งให้ปูตินเป็นทายาททางการเมือง ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของประชาชนทั้งประเทศ

พวกเขาถามกันว่า ปูตินเป็นใคร? เคยได้ยินชื่อคนๆนี้มาก่อนหรือเปล่า? ทำไมเยลซินถึงตั้งคนที่ไม่มีใครรู้จักอายุก็ยังน้อยขึ้นมาเป็นทายาทได้?

...
...
...

...มีข่าวลือว่าปูตินแบลคเมล์เยลซินให้แต่งตั้งเขา แลกกับการลงจากตำแหน่งอย่างปลอดภัย...

...ครับ... นอกจากเยลซินแล้ว ปูตินยังเก็บงำความลับอันชั่วร้ายของนักการเมืองคนต่างๆไว้อีกมาก

...ในกระทู้หน้า ท่านจะได้เห็นสายลับผู้กลายเป็นประธานาธิบดีนี้ ใช้วิชาด้านมืดกระทำการเปลี่ยนแปลงรัสเซียอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน



...ท่านครับ พวกเราทุกคนต่างตระหนักว่า “ความดี” ย่อมช่วยให้ประเทศเจริญ...

...นี่เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานซึ่งทำให้โลกมนุษย์ของเราดำรงคงอยู่...

...หากปราศจากข้อเท็จจริงนี้แล้ว โลกเราคงจะปั่นป่วนวุ่นวาย...

...แต่ธรรมดาทุกอย่างมีสองด้าน...

...

...ในกระทู้หน้า ท่านจะเห็นปูตินทำลายกฎแห่งความดีนั้น...

...  ...  ...

...เขาจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่า “ความชั่ว” ก็ทำให้ประเทศเจริญได้เหมือนกัน...



จบภาคสองของซีรีย์ "เชือดเช็ด เชเชน" แล้วครับ



ขอบคุณข้อมูล : pantip.com

1 ความคิดเห็น: